แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ ก. กับ พ.ซึ่งเป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยแทนโจทก์สาบานตนตามที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบาน ถ้า ก. กับ พ.สาบานว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยไปครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองยอมแพ้คดี ถ้าไม่กล้าสาบานโจทก์ยอมแพ้คดีนั้น แม้ ก. กับ พ.จะมิใช่โจทก์หรือผู้มีส่วนได้เสียก็ตาม แต่เป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้รับชำระหนี้จากจำเลย การสาบานตนของบุคคลทั้งสองก็เป็นเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นข้อแพ้ชนะในคดี ทั้งคำท้าสาบานก็ตรงกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีที่ศาลกำหนดไว้แล้ว ข้อตกลงท้ากันดังกล่าวจึงมีผลบังคับระหว่างคู่ความ โจทก์และจำเลยทั้งสองรู้จัก ก. และ พ. ผู้สาบานซึ่งเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ในวันนัดสาบานตัว ฝ่ายจำเลยได้นำสาบานโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องตัวผู้สาบาน ผู้สาบานได้สาบานตามคำท้าแล้ว โจทก์จำเลยทั้งสอง และผู้สาบานลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาของศาล โดยผู้สาบานลงชื่อว่า จ. และ พ. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน แสดงว่า ก. ซึ่งคู่ความตกลงให้เป็นผู้สาบานกับ จ.ผู้สาบานและลงชื่อไว้นั้นเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่มี 2 ชื่อภายหลังฝ่ายจำเลยจะอ้างว่า จ. กับ ก. เป็นคนละคนกัน ไม่มีสิทธิสาบาน คำสาบานของ จ.ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ยืมเงิน 100,000 บาท จากโจทก์ โดยตกลงชำระดอกเบี้ยตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 115,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 100,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า หนี้ตามสัญญากู้ตามฟ้อง โจทก์เคยมอบอำนาจให้ผู้มีชื่อฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น และจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ผู้มีชื่อซึ่งเป็นสามีผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์นั้นไว้แทนโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินต้นรวมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ดังฟ้องโจทก์หรือไม่ และให้จำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลย คู่ความท้ากันว่า ถ้านายกำจัดกับนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทร สุวรรณเจริญ ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ยอมรับคำท้าสาบานจากฝ่ายจำเลยทั้งสองว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยไปครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองจะยอมรับผิด แต่ถ้านายกำจัดกับนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทร ไม่กล้าสาบาน ขอให้ศาลยกฟ้อง คู่ความจะให้คนทั้งสองไปสาบานต่อหน้าศาลเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่ตำบลปากน้ำหลังสวนและที่โบสถ์คริสต์จักร อำเภอหลังสวน โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบานตามคำท้า ศาลชั้นต้นอนุญาตตามที่คู่ความขอ ในวันนัดคณะผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งไปเผชิญสืบพร้อมกับคู่ความด้วยจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายมาศาลพร้อม จากนั้นคู่ความได้นำไปสาบานต่อหน้าศาลเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ฝ่ายจำเลยนำสาบานตรงตามคำท้าตามที่คู่ความตกลงกัน จากนั้นจึงเดินทางไปสาบานต่อคริสต์จักรอำเภอหลังสวน ฝ่ายจำเลยนำสาบาน ซึ่งฝ่ายผู้สาบานได้ปฏิบัติตรงตามคำท้าแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1ชำระเงิน 115,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบถ้วนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า นายกำจัดและนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรมิใช่โจทก์ จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ทำให้คำท้าสาบานไม่ตรงกับประเด็นข้อพิพาท คำท้าสาบานจึงขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันว่าถ้านายกำจัดกับนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรสาบานตัวตามที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบานตามคำท้าได้ จำเลยทั้งสองยอมแพ้คดี ถ้าไม่กล้าสาบานโจทก์ยอมแพ้คดี การสาบานตนของบุคคลทั้งสองจึงเป็นเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้น เพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อแพ้ชนะในคดี แม้นายกำจัดและนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรจะมิใช่โจทก์ แต่เป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้รับชำระหนี้จากจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลบังคับระหว่างคู่ความทั้งคำท้าสาบานดังกล่าวก็ตรงกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้แล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามคำท้าของคู่ความตกลงกันให้นายกำจัด สุวรรณเจริญ มาสาบานตัว แต่ในวันสาบานปรากฏว่านายจักรพงษ์ สุวรรณเจริญ มาสาบานตามคำท้า นายจักรพงษ์นั้นมิใช่นายกำจัด นายจักรพงษ์จึงไม่มีสิทธิสาบาน เพราะเป็นบุคคลคนละคนกัน คำสาบานของนายจักรพงษ์จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า ในวันที่คู่ความตกลงท้ากัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 31 ตุลาคม 2529 นั้นคู่ความตกลงกันให้นายกำจัดกับนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรสุวรรณเจริญ ซึ่งเป็นสามีภรรยาด้วยกันสาบานตน โดยจำเลยทั้งสองจะเป็นผู้กล่าวนำสาบานตามคำท้า ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองต้องรู้จักตัวนายกำจัดและนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรมาก่อน ต่อมาในวันนัดสาบานตัวคู่ความนำฝ่ายผู้สาบานไปสาบาน ณ สถานที่ที่ตกลงท้ากัน ฝ่ายจำเลยนำสาบานซึ่งฝ่ายผู้สาบานได้ปฏิบัติตรงตามคำท้าแล้วโจทก์ จำเลยทั้งสอง นายจักรพงษ์และนางเพิ่มพัตร์หรือเพิ่มภัทรลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 พฤศจิกายน2529 โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบานตามคำท้า จำเลยทั้งสองต้องทราบดีว่าบุคคลทั้งสองที่ตนนำให้สาบานตามคำท้านั้นเป็นบุคคลที่จำเลยทั้งสองประสงค์จะให้สาบานตัวตามคำฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองนำบุคคลทั้งสองให้สาบานตัวโดยไม่ได้โต้แย้งทักท้วงแต่อย่างใด แสดงว่าบุคคลทั้งสองที่สาบานตัวนั้น คนหนึ่งคือนายกำจัด สุวรรณเจริญ หรือนายจักรพงษ์สุวรรณเจริญ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนายกำจัดกับนายจักรพงษ์เป็นบุคคลคนเดียวกันแต่มีสองชื่อนั่นเอง ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน