แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แม้ภายหลังจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินในสัญญานั้นก็ไม่ทำให้การกู้ยืมเงินอันมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แต่เดิมเสียไปโจทก์ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีตามหนังสือสัญญากู้ที่ทำไว้เดิมได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2522จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 200,000บาท และได้ทำหนังสือกู้ยืมเงินลงลายมือชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ให้โจทก์ไว้ การกู้ยืมจึงมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้เป็นสำคัญ ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีตามหนังสือสัญญากู้ยืมเดิมจำนวน 200,000 บาท จากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา653 วรรคแรก การที่นายสมนึกผู้เขียนสัญญาอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้มากู้ยืมเงินเพิ่มเติมและได้แก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินจากเดิม 200,000 บาท เป็น 450,000 บาท เป็นการเพิ่มเติมจำนวนเงินกู้ยืมอีกจำนวนหนึ่งหาทำให้การกู้ยืมอันมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์เดิมเสียไปไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้เงินกู้ยืมจำนวน 200,000 บาท ตามหลักฐานเป็นหนังสือที่ทำไว้เดิมให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.”