แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีอาญานั้น โจทก์จะต้องระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
คำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ให้ผู้เสียหายนำเงินมามอบให้กับจำเลยเพื่อเอาไปลงแชร์และให้คำรับรองอันเป็นเท็จว่าถ้าส่งเงินครบแล้วจำเลยจะคืนเงินพร้อมทั้งผลประโยชน์ให้ จำเลยทั้งสองได้เก็บเงินจากผู้เสียหายไปจวนครบจำนวนแล้วก็ปฏิเสธไม่ยอมรับไม่ยอมคืนเงินโดยตามคำฟ้องมิกล่าวว่าความจริงเป็นอย่างไร เพื่อที่จะแสดงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงผู้เสียหายตรงไหน ฉะนั้น คำฟ้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องที่ระบุความพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนี้ ศาลก็ต้องยกฟ้อง
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 กันยายน 2505 ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 จำเลยบังอาจสมคบกันใช้อุบายหลอกลวงนายไต๋ แซ่หวุ่น และผู้เสียหายอื่นอีกรวม 6 คน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ชักชวนให้ผู้เสียหายทั้ง 6 คน นำเงินมามอบให้กับจำเลยให้ครบกำหนดจำนวนครั้งที่จำเลยทั้งสองได้กำหนด แล้วผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนทั้งหมด โดยจำเลยทั้งสองให้คำรับรองอันเป็นเท็จว่าจำเลยทั้งสองนำเงินนั้นไปลงแชร์กับผู้อื่น เมื่อผู้เสียหายส่งเงินครบตามกำหนดครั้งแล้ว จำเลยทั้งสองจะคืนเงินทั้งหมดพร้อมกับผลประโยชน์อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของเงินทุน ตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเก็บเงินจากผู้เสียหายทั้ง 6 คนไปเป็นเงิน 101,400 บาท ครั้นเมื่อจวนจะครบจำนวนครั้งที่จำเลยทั้งสองกำหนด จำเลยทั้งสองปฏิเสธไม่ยอมรับเงินที่ผู้เสียหายจะส่งต่อไปอีก ทั้งปฏิเสธไม่จ่ายเงินที่ผู้เสียหายทั้ง 6 คนได้ส่งมอบไปเป็นจำนวน 101,400 บาท นั้นด้วย ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ตนเสีย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว สั่งงดสืบพยานจำเลยและวินิจฉัยว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่อาจเข้าใจข้อความที่จำเลยกล่าวนั้นเป็นเท็จทุกตอนทุกถ้อยคำ เพราะโจทก์ไม่ได้กล่าวความจริงเป็นอย่างไร เพียงไหน ไม่เป็นฟ้องที่ระบุความพอสมควรเท่าที่ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในฟ้องอาญานั้น โจทก์จะต้องระบุว่าการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แต่คำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ให้ผู้เสียหายนำเงินมามอบให้กับจำเลยเพื่อเอาไปลงแชร์ และให้คำรับรองอันเป็นเท็จว่าถ้าส่งเงินครบแล้วจำเลยจะคืนเงินพร้อมทั้งผลประโยชน์ให้ จำเลยทั้งสองได้เก็บเงินจากผู้เสียหายไปจวนครบจำนวนแล้วปฏิเสธไม่ยอมรับและไม่ยอมคืนเงิน โดยตามคำฟ้องมิกล่าวว่าความจริงเป็นอย่างไรเพื่อที่จะแสดงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงผู้เสียหายตรงไหน ฉะนั้น คำฟ้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องที่ระบุความพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี พิพากษายืน