แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระภิกษุในวัดเดียวกันทำหนังสือร้องเรียนต่อสังฆนายกว่า พระภิกษุเจ้าอาวาสประพฤติผิดธรรมวินัยโดยร่วมประเวณีกับหญิง แม้เรื่องที่ร้องเรียนกล่าวหานั้นจะไม่เป็นความจริง แต่ได้ร้องเรียนไปโดยสุจริต โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริง ดังนี้ ไม่มีผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะถือว่าเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์โดยทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาพระปลอดเจ้าอาวาสต่อสังฆนายกว่า พระปลอดถึงซึ่งอาจารวิบัติและศีลวิบัติโดยร่วมประเวณีกับโจทก์ และยังปิดประกาศโฆษณาหนังสือร้องเรียนนั้นให้ประชาชนได้ทรายอีกด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓, ๙๑
จำเลยให้การว่า มิได้มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์เมื่อเจ้าอาวาสประพฤติผิดพระธรรมวินัย จำเลยก็ต้องฟ้องเป็นอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยสามารถนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าได้ว่าข้อความที่จำเลยร้องเรียนเกี่ยวกับพระปลอดกับโจทก์นั้นเป็นความจริง และจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจได้กระทำไปตามพระวินัยพุทธบัญญัติเพื่อป้องกันรักษาพระพุทธศาสนา จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อกล่าวหาที่จำเลยร้องเรียนไม่มีมูลความจริง และจำเลยร้องเรียนไปโดยรู้ว่าไม่มีมูลความจริง จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ส่วนข้อหาฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารตามมาตรา ๓๒๘ นั้นพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟัง จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ โดยที่การกระทำของจำเลยส่งผลเสียหายร้ายแรงมาก จึงให้จำคุกจำเลยคนละ ๔ เดือน แต่จำเลยเป็นพระภิกษุ จึงให้รอการลงโทษไว้คนละ ๕ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อกล่าวหาที่จำเลยร้องเรียนกล่าวหาพระปลอดนั้นไม่เป็นความจริงแต่จำเลยร้องเรียนไปโดยสุจริตโดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริงและจำเลยกับพระปลอดต่างอยู่วัดเดียวกัน ย่อมมีส่วนได้เสียในชื่อเสียงของวัดด้วยกัน การร้องเรียนของจำเลยจึงเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมและเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ (๑)
จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป.