คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้โดยไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และศาลได้พิพากษาไปตามนั้นแล้ว เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าสัญญายอมเกิดจากโจทก์ใช้กลฉ้อฉลหรืออ้างว่าสัญญายอมขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 จำเลยจะมาร้องขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างเหตุดังกล่าว และขอให้ศาลไต่สวนหาความจริงตามคำร้องของจำเลยนั้น หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์จำเลยทำสัญญายอมและศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญายอม โจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า สัญญายอมความดังกล่าวเกิดจากกลฉ้อฉล และขัดต่อความสงบเรียบร้อย เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับขอให้งดการบังคับคดี

ศาลชั้นต้นนัดพร้อม โจทก์แถลงว่าการยอมความชอบด้วยกฎหมาย ถ้าจำเลยถือว่าเป็นตามคำร้องของจำเลย จำเลยชอบที่จะฟ้องทำลายคำพิพากษาในคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง จำเลยแถลงว่าขอถือไปตามคำร้อง

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ยังไม่มีเหตุจะให้งดการบังคับคดี ให้ยกคำร้องของจำเลย

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าสัญญายอมเป็นโมฆะ ก็ชอบที่จะให้มีการไต่สวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้วกรณีก็เข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือผูกพันคู่ความจนกว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับ หรือ งดเสีย ถ้าหากมี และต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 คือ เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาแล้วห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น อันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้มีคำพิพากษาไว้แล้วนั้น ประกอบกับบทบัญญัติที่ว่าด้วยอุทธรณ์ฎีกาในมาตรา 223 และ 247 เรื่องจึงเป็นว่า เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วคำพิพากษาเป็นอันผูกพันคู่ความ เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี จะมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นที่ได้พิพากษาแล้วนั้นอีกไม่ได้แม้แต่จะแก้ไขคำพิพากษาก็มิได้เว้นแต่จะเป็นการแก้ไขเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ยิ่งกว่านั้นสำหรับคดีที่ศาลพิพากษาตามประนีประนอมยอมความ ยังมีบทบัญญัติของมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นนี้เว้นแต่ในเหตุซึ่งได้ระบุไว้ท้ายมาตรานั้น

คดีนี้จำเลยไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบก่อนที่ศาลจะพิพากษาตามยอมว่าสัญญายอมเกิดจากกลฉ้อฉล หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยอย่างไร เพื่อศาลจะได้วินิจฉัย ว่าข้อตกลงตามสัญญายอมนั้นฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138ตอนต้นบัญญัติไว้หรือไม่ และจำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งศาลได้พิพากษาไปตามที่มาตรา 138 อนุญาตไว้ จำเลยกลับปล่อยให้คำพิพากษาตามยอมนั้นถึงที่สุด จำเลยจึงมาร้องเช่นนี้ หาชอบด้วยกระบวนพิจารณาไม่ ไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยศาลฎีกาพิพากษายืน

Share