แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินซึ่งอยู่ตอนหน้าที่ดินโฉนดของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยทำสัญญาเช่า แล้วขัดขืนไม่ยอมทำสัญญาใหม่ แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะก็ตาม เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทอยู่หน้าที่ดินของโจทก์จริง และการที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทก็โดยภริยาจำเลยขอเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยก็รู้เห็นด้วยแต่มิได้เป็นคู่สัญญาเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นคนตาบอด ทำสัญญาเช่าแล้วภริยาจำเลยก็ปลูกเรือนขึ้น จำเลยก็มาอยู่ด้วยดังนี้ เมื่อภริยาจำเลยผู้เช่าถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาทแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ต่อไปได้ เมื่อจำเลยขัดขืนโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินตอนหน้าที่ดินโฉนดที่ 7912 ของโจทก์ที่ติดกับลำแม่น้ำน้อย เพื่อปลูกเรือนอยู่ โจทก์ได้ฟ้องนายนวล นางสำราญครั้งหนึ่งแล้ว นายนวล นางสำราญยอมออกจากที่ดินไป แต่กลับให้นายจิ้น สามีนางสำราญอยู่แทนจนบัดนี้ โจทก์ให้มาทำสัญญาเช่าใหม่ก็ไม่มาทำ กลับทำตัวเป็นปรปักษ์ อ้างว่าเป็นที่สาธารณะ จึงขอให้ขับไล่จำเลย ฯลฯ
ก่อนจำเลยให้การ โจทก์ขอถอนฟ้องนายผิน นางเลี่ยมเสีย ศาลอนุญาต
นายจิ้น จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ไม่ใช่อยู่หน้าที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินคนละตอนกับที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินตอนหน้าที่ดินโฉนดที่ 7912 ของโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยได้ลงชื่อในสัญญาเช่าด้วย ได้ความเพียงว่าที่พิพาทรายนี้อยู่หน้าที่ดินโฉนดที่ 7912 ของโจทก์จริง และการที่จำเลยจะมาอยู่ในที่รายนี้ก็โดยนายนวลกับนางสำราญภริยาจำเลยได้ไปขอเช่าจากโจทก์ ขณะนั้นจำเลยก็อยู่รู้เห็นด้วย แต่โจทก์มิได้ให้จำเลยเป็นคู่สัญญา เพราะเห็นว่าจำเลยเป็นคนตาบอด ทำสัญญาเช่าแล้ว นายนวลนางสำราญจึงปลูกเรือนขึ้น จำเลยก็มาอยู่ด้วยดังนี้เมื่อนายนวลนางสำราญผู้เช่าต้องถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกไปจากที่พิพาทแล้ว จำเลยซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญาด้วยก็ไม่มีสิทธิที่จะคงปลูกเรือนให้เป็นการกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ได้ เมื่อจำเลยยังขัดขืน โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย