คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีผู้ส่งสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานโดยสายการบินของบริษัท อ. จำเลยร่วมกับพวกเพทุบายนำสินค้านั้นเข้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัท อ. ในเขตศุลกากรโดยไม่ชอบ และกำลังจะนำสินค้านั้นออกจากคลังสินค้าเพื่อไม่ผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง อันเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล แต่เจ้าพนักงานศุลกากรตรวจพบเสียก่อน ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 9 มาตรา 6 และฉบับที่ 11 มาตรา 3 แต่ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ด้วยเพราะจำเลยไม่ได้รับเอาสินค้านั้นไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่นำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีผู้ลักลอบนำสินค้าต่าง ๆ ๑๑ หีบห่อ รวมราคา๑,๔๑๒,๒๒๙.๔๒ บาท ซึ่งจะต้องเสียภาษีอากรเป็นเงิน ๕๖๐,๘๓๐.๑๓ บาท อันเป็นของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีอากร และยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ โดยสายการบินแอร์อินเดีย ทั้งนี้ โดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรศุลกากร และโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีอากรของรัฐตามวัน เวลาที่มีผู้ลักลอบดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันจัดทำและยื่นรายงานเรือเข้าบัญชีสินค้าและลงสมุดบันทึกรายงานเรือเข้าว่า เครื่องบินเที่ยวดังกล่าวไม่มีสินค้าเข้ามาไม่มีสินค้าถ่ายลำและไม่มีสินค้าตรวจปล่อยที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ อันเป็นเอกสารหลักฐานแสดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากร โดยเจตนาที่จะหลอกลวงให้เจ้าพนักงานศุลกากรหลงเชื่อข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อปกปิดการกระทำที่กล่าวข้างต้น และชักพาให้เจ้าพนักงานศุลกากรหลงผิดในรายการเหล่านั้น และเมื่อเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ ๑ ได้ ยังได้เอกสารหลักฐานสำแดงเท็จรายการสินค้า ๑๑ หีบห่อนั้นอีก ๒ ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำขึ้นและยื่นต่อเจ้าพนักงานศุลกากรผู้ตรวจยึดสินค้าและจับจำเลยโดยเจตนาที่จะหลอกลวงเจ้าพนักงานให้หลงเชื่อข้อความอันเป็นเท็จนั้น ทั้งนี้ ก็โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันลักลอบนำสินค้า ๑๑ หีบห่อ อันเป็นของที่ยังไม่ได้เสียภาษีอากรศุลกากรและยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงและเจตนาจะฉ้อค่าภาษีอากรของรัฐ หรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับเอาสินค้าดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากร และได้ร่วมกันสำแดงหลักฐานเอกสารเท็จต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๒๗ ทวิ, ๙๙ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๖, ๑๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗มาตรา ๓, ๔ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ขอให้จ่ายสินบนและรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๓, ๔, ๕ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ผิดฐานสำแดงหลักฐานเท็จแต่เพียงข้อหาเดียว ส่วนจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำความผิดด้วย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๙๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗มาตรา ๔ ปรับสองหมื่นบาท จ่ายค่าสินบนและรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด ฯ ข้อหาในฐานอื่นให้ยกยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๒๗ ทวิ อีกกระทงหนึ่ง สินค้าของกลางต้องริบ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๒๗ ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๖, ๑๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๗, ๘ ปรับจำเลยที่ ๑ สี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เป็นเงิน ๗,๘๙๒,๒๓๘.๒๐ บาท อีกกระทงหนึ่งด้วย ริบของกลางทั้งหมด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยไม่มีความผิดทั้ง ๒ ข้อหา และขอให้คืนสินค้าของกลาง
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาในข้อหากระทงความผิดฐานสำแดงหลักฐานเท็จตามมาตรา ๙๙ เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้าม วินิจฉัยให้ไม่ได้ปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ ลักลอบนำสินค้าของกลางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยพยายามหลีกเลี่ยงและเจตนาจะฉ้อภาษีศุลกากรของรัฐบาลหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีผู้ส่งสินค้าของกลางรวม ๑๑ หีบห่อเข้ามาในราชอาณาจักร โดยทางเครื่องบินของบริษัทแอร์อินเดีย เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๑๒ เวลา ๑๘.๔๐ นาฬิกา แล้วจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทแอร์อินเดียได้จัดการขนสินค้าของกลางนั้นไปเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัทแอร์อินเดียอันอยู่ในเขตศุลกากร คือ เก็บไว้ในห้องเก็บสินค้า ๕ หีบห่อ โดยมีผ้าใบคลุมมิดชิด ส่วนอีก ๖ หีบห่ออยู่บนรถเข็นหน้าห้องเก็บสินค้าในห้องที่ทำการของบริษัทดังกล่าว ความปรากฏว่าเมื่อเครื่องบินของบริษัทแอร์อินเดียในเที่ยวบินดังกล่าวมาถึงท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ควบคุมอากาศยาน ได้ทำรายงานเกี่ยวกับสินค้าที่นำเข้ามาตามเอกสารหมาย จ.๓ จ.๖ และ จ.๘ ยื่นต่อเจ้าพนักงานศุลกากรด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า เครื่องบินเที่ยวนั้นไม่มีสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และไม่มีสินค้าถ่ายลำ เมื่อร้อยตรีโกวิท โชติรส เจ้าพนักงานศุลกากรตรวจพบของกลาง จำเลยที่ ๑ ได้นำบัญชีสินค้าของเรือหมาย จ.๑๑/๑๓ มาแสดงว่าเป็นบัญชีแสดงรายการสินค้าสำหรับสินค้าของกลางจำนวน ๕ หีบห่อ ซึ่งระบุว่าสินค้านั้นมีกระเป๋าถือ ๓ หีบห่อ และรองเท้า ๒ หีบห่อ อันเป็นความเท็จ ความจริงสินค้าของกลาง ๕ หีบห่อนั้นไม่มีสินค้าประเภทที่จำเลยที่ ๑ ระบุไว้เลย พฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับพวกเพทุบายนำสินค้าของกลางเข้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัทแอร์อินเดียในเขตศุลกากรโดยไม่ชอบ และกำลังจะนำสินค้าของกลางออกจากคลังสินค้าเพื่อไม่ผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง อันเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล แต่เจ้าพนักงานศุลกากรตรวจพบเสียก่อน จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๖ และ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ และสินค้าของกลางจะต้องถูกริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๗ พยานจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๗ ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ มาด้วยนั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับเอาสินค้าของกลางไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่นำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะการปรับบทมาตราลงโทษว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙มาตรา ๒๗ ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ด้วย

Share