คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างให้เงินสนับสนุนร้านค้าเดือนละ15,000บาทเพื่อนำอาหารราคาถูกมาจำหน่ายให้แก่ลูกจ้างของโจทก์เฉพาะลูกจ้างประเภทพนักงานทั่วไปที่ทำงานตั้งแต่เวลา8นาฬิกาถึง17นาฬิกาและลูกจ้างประเภทพนักงานกะเช้าที่ทำงานตั้งแต่เวลา6.30นาฬิกาถึง18.30นาฬิกาเท่านั้นส่วนพนักงานกะดึกที่ทำงานตั้งแต่เวลา18.30นาฬิกาถึง6.30นาฬิกาและลูกจ้างอื่นๆที่ทำงานล่วงเวลาหลังเวลา18.30นาฬิกาโจทก์ให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารในอัตราชั่วโมงละ5บาทเนื่องจากลูกจ้างที่ทำงานในรอบกลางคืนไม่มีร้านอาหารจัดอาหารราคาถูกจำหน่ายให้เหตุที่โจทก์จ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานกะดึกชั่วโมงละ5บาทเนื่องจากโจทก์ไม่ได้จัดอาหารราคาถูกให้ลูกจ้างดังเช่นลูกจ้างประเภทพนักงานทั่วไปที่ทำงานกลางวันและพนักงานกะเช้านอกจากนี้โจทก์ยังจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่พนักงานทั่วไปที่ทำงานเวลากลางวันหากต้องมาทำงานล่วงเวลาในช่วงเวลาหลัง18.30นาฬิกานอกเหนือจากค่าล่วงเวลาอีกด้วยเห็นได้ว่าการที่โจทก์จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวก็โดยมีเจตนาเพื่อให้เป็นเงินสวัสดิการแก่ลูกจ้างโดยแท้แม้เงินดังกล่าวโจทก์จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นประจำและมีจำนวนแน่นอนตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงานจริงก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติฉะนั้นไม่ว่าจะเรียกเงินดังกล่าวว่าเป็นเงินช่วยเหลือค่าอาหารหรือเงินค่ากะดึกเงินดังกล่าวก็ไม่เป็นค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ.2533มาตรา5 แม้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคมจำเลยที่2พิจารณาและมีหนังสือแจ้งให้โจทก์จ่ายเงินสมทบเป็นการใช้ดุลพินิจและพิจารณาตามอำนาจที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำเงินไปชำระตามคำสั่งของจำเลยที่2ก็ตามแต่เมื่อปรากฏในภายหลังว่าคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมายกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจำเลยที่1และจำเลยที่2จึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมคืนให้จนโจทก์ผู้เป็นนายจ้างต้องฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์ประกอบธุรกิจด้านผลิตเม็ดพลาสติก สถานประกอบการอยู่ที่จังหวัดระยอง ลูกจ้างของโจทก์มี 2 ประเภท คือ 1. พนักงานทั่วไปได้แก่ พนักงานซึ่งปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 8 นาฬิกา ถึง17 นาฬิกา เวลาพัก 12 นาฬิกา ถึง 13 นาฬิกา วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ 2. พนักงานกะ ได้แก่พนักงานที่โจทก์มอบหมายให้ปฏิบัติงานเป็นกะ กำหนดเวลาทำงานวันละ 2 กะทำงานกะละไม่เกิน 8 ชั่วโมง กะเช้าตั้งแต่เวลา 6.30 นาฬิกาถึง 18.30 นาฬิกา กะดึก ตั้งแต่เวลา 18.30 นาฬิกาถึง 6.30 นาฬิกา โจทก์จัดสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างของโจทก์หลายอย่างเกี่ยวกับสวัสดิการเรื่องอาหารโจทก์ให้บุคคลภายนอกเข้ามาดำเนินการจัดอาหารเช้าและกลางวันแก่ลูกจ้างของโจทก์เฉพาะลูกจ้างประเภทพนักงานทั่วไปและพนักงานกะเช้าเท่านั้นส่วนพนักงานกะดึกหรือพนักงานทั่วไปที่จะต้องทำงานล่วงเวลาตั้งแต่เวลา 18.30 นาฬิกา เป็นต้นไป โจทก์จัดสวัสดิการเป็นเงินช่วยเหลือค่าอาหารชั่วโมงละ 5 บาท โดยเรียกว่าค่ากะดึก เงินดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างหรือส่วนหนึ่งของค่าจ้าง เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2538สำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของจำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์นำเงินช่วยเหลือที่โจทก์จ่ายเป็นสวัสดิการดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 ถึงเดือนธันวาคม 2537มารวมเป็นค่าจ้างเพื่อเป็นฐานคำนวณในการส่งเงินสมทบ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2539 โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ได้ส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มของเดือนมกราคม 2537ถึงเดือนธันวาคม 2537 จำนวน 6,993.25 บาท ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ดำเนินการส่งเงินสมทบพร้อมเงินเพิ่มที่ได้มีคำสั่งมาแล้วและที่จะมีคำสั่งต่อไป กับบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 6,993.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า เงินค่ากะดึกที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ที่มาทำงานจริงในช่วงระหว่างเวลา 18.30 นาฬิกาถึง 6.30 นาฬิกา ชั่วโมงละ 5 บาท นั้น เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานในช่วงเวลาทำงานปกติเพิ่มจากค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับอยู่แล้ว ประกอบกับนายจ้างได้จ่ายให้เป็นการประจำและจำนวนที่แน่นอน โดยจ่ายให้ตามสัดส่วนชั่วโมงที่ลูกจ้างมาทำงานจริง มิได้จ่ายให้เป็นครั้งคราว จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 5 นายจ้างจะต้องนำเงินดังกล่าวมาคำนวณเป็นฐานในการหักและส่งเงินสมทบตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 46 และมาตรา 47 โจทก์ได้ส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มของเดือนมกราคม 2537ถึงเดือนธันวาคม 2537 รวมจำนวน 6,993.25 บาท ตามคำสั่งจึงถือได้ว่าโจทก์ยอมรับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 คำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยองและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่ให้โจทก์ดำเนินการส่งมอบเงินสมทบพร้อมเงินเพิ่มตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินจำนวน 6,993.25 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ให้เงินสนับสนุนร้านค้าเดือนละ 15,000 บาท เพื่อนำอาหารราคาถูกมาจำหน่ายให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ เฉพาะลูกจ้างประเภทพนักงานทั่วไปที่ทำงานตั้งแต่เวลา 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา และลูกจ้างประเภทพนักงานกะเช้าที่ทำงานตั้งแต่เวลา 6.30 นาฬิกา ถึง 18.30 นาฬิกาเท่านั้น ส่วนพนักงานกะดึกที่ทำงานตั้งแต่เวลา 18.30 นาฬิกาถึง 6.30 นาฬิกา และลูกจ้างอื่น ๆ ที่ทำงานล่วงเวลาหลังเวลา 18.30 นาฬิกา โจทก์ให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารในอัตราชั่วโมงละ 5 บาท เนื่องจากลูกจ้างที่ทำงานในรอบกลางคืนไม่มีร้านอาหารจัดอาหารราคาถูกจำหน่ายให้ ต่อมาสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยองแจ้งให้โจทก์ทราบว่าเงินซึ่งโจทก์จ่ายช่วยเหลือเป็นค่าอาหารดังกล่าวเป็นค่าจ้าง ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณในการส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มของเดือนมกราคม 2537ถึงเดือนธันวาคม 2537 จำนวน 6,993.25 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาแล้วให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ได้ส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มจำนวนดังกล่าวให้ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 เรียบร้อยแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยทั้งสองว่า เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหาร ซึ่งโจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานกะดึกชั่วโมงละ5 บาท เป็นค่าจ้างหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความรับกันว่าเหตุที่โจทก์จ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานกะดึกชั่วโมงละ5 บาท เนื่องจากโจทก์ไม่ได้จัดอาหารราคาถูกให้ลูกจ้างดังเช่นลุกจ้างประเภทพนักงานทั่วไปที่ทำงานกลางวันและพนักงานกะเช้านอกจากนี้โจทก์ยังจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่พนักงานทั่วไปที่ทำงานเวลากลางวันต้องมาทำงานล่วงเวลาในช่วงเวลาหลัง 18.30 นาฬิกานอกเหนือจากค่าล่วงเวลาอีกด้วย เห็นได้ว่าการที่โจทก์จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวมีเจตนาเพื่อให้เป็นเงินสวัสดิการแก่ลูกจ้างโดยแท้ แม้เงินดังกล่าวโจทก์จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นประจำและมีจำนวนแน่นอนตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงานจริง ชั่วโมงละ 5 บาท ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติฉะนั้น ไม่ว่าจะเรียกเงินดังกล่าวว่าเป็นเงินช่วยเหลือค่าอาหารหรือเงินค่ากะดึก เงินดังกล่าวก็ไม่เป็นค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 5 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินช่วยเหลือค่าอาหารดังกล่าวมารวมเป็นฐานในการคิดคำนวณเงินสมทบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า แม้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 พิจารณาและมีหนังสือแจ้งให้โจทก์จ่ายเงินสมทบจะเป็นการใช้ดุลพินิจและพิจารณาตามอำนาจที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำเงินจำนวน 6,993.25 บาท ไปชำระตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏในภายหลังว่าคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมคืนให้จนโจทก์ต้องฟ้องบังคับเช่นนี้ จำเลยทั้งสองจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามฟ้องจากจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน

Share