คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นนายหน้าและตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นเป็นกรณีพิเศษ มิใช่การซื้อขายหุ้นตามปกติจึงไม่ต้องปฏิบัติตามแบบของการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง
เมื่อโจทก์ทำการซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยจากสมาชิกผู้ขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่มีชื่อผู้รับโอน เป็นการโอนลอยแล้ว เมื่อบริษัทเจ้าของหุ้นประกาศปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น โจทก์จดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น ก็เพื่อสิทธิในการขอรับเงินปันผล มิฉะนั้น บริษัทเจ้าของหุ้นจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และโจทก์จะใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้ เพราะจำเลยยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองไป การกระทำของโจทก์เป็นการรักษาผลประโยชน์ของจำเลย มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์ กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น จำเลยซึ่งมิได้เป็นสมาชิกจะลงชื่อเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายในสัญญาดังกล่าวไม่ได้
โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทน ฟ้องเรียกเงินทดรองจากจำเลยซึ่งเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 กฎหมายมิได้กำหนดระยะเวลาให้ใช้สิทธิเรียกร้องไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164.(ที่มา-เนติฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ ที่มอบให้โจทก์เป็นผู้ซื้อขายหลักทรัพย์แทน จำเลยให้การว่า ทำสัญญาโดยสำคัญผิดไม่มีผลบังคับ และจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ปัญหาวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่าโจทก์ทำหน้าที่แทนจำเลยโดยสุจริตถูกต้องตามกฎหมายในการซื้อขายหลักทรัพย์ และมีผลบังคับตามกฎหมายเป็นเหตุให้จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่นั้น จำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่าการที่โจทก์รับโอนหลักทรัพย์หรือหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อ โดยไม่มีชื่อผู้รับโอน (โอนลอย) เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสองเกี่ยวกับการโอนหุ้นระบุชื่อ การซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆะ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นนายหน้าและตัวแทนเพื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับเงินกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์จากโจทก์หลายครั้ง แสดงว่าจำเลยยอมผูกพันตนและยอมรับผลปฏิบัติของโจทก์โดยตลอด โดยไม่สนใจที่จะให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด ทั้งการซื้อหุ้นตามที่จำเลยสั่งให้ซื้อนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในทางปฏิบัติโจทก์จะออกเงินทดรองจ่ายซื้อหุ้นไปก่อน โจทก์จะได้รับใบหุ้นและตราสารการโอนหุ้นซึ่งมีลายมือชื่อผู้โอนมาโดยยังไม่มีชื่อผู้รับโอนการที่โจทก์ยังไม่โอนหุ้นใส่ชื่อจำเลยเพราะจำเลยยังไม่ชำระเงินที่โจทก์ออกทดรองไป และการโอนใส่ชื่อจำเลยทันทีย่อมจะไม่สะดวกในการที่จำเลยจะสั่งขายหุ้นไปนอกจากนี้การที่จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.22 นั้น จะเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยจากเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยในการซื้อหุ้น และเงินค่าบำเหน็จในการซื้อขายหุ้น ส่วนจำเลยได้รับผลประโยชน์ในการขายหุ้นที่ได้กำไร วัตถุประสงค์อันแท้จริงของโจทก์จำเลยจึงเป็นการค้าเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงมากกว่าที่จะให้มีการโอนใบหุ้นใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ทั้งการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มิใช่การซื้อขายหุ้นตามปกติ แต่เป็นการซื้อขายหุ้นในกรณีพิเศษจึงไม่ต้องปฏิบัติตามแบบของการโอนหุ้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่าหุ้นที่โจทก์อ้างว่าซื้อให้จำเลยนั้นคงมีแต่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นคนเดียว ผลประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับย่อมตกได้แก่โจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตพิเคราะห์แล้วเห็นว่าหลักฐานพยานที่โจทก์นำสืบมาและจำเลยมิได้โต้แย้ง ฟังได้ว่าเมื่อโจทก์ทำการซื้อหุ้นตามคำสั่งจำเลยจากสมาชิกผู้ขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่มีชื่อผู้รับโอนเป็นการโอนลอยแล้ว ต่อมาเมื่อบริษัทเจ้าของหุ้นประกาศปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นโจทก์จึงได้จดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการขอรับเงินปันผล มิฉะนั้นบริษัทเจ้าของหุ้นจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อันจะเป็นผลให้ทั้งโจทก์และจำเลยต้องได้รับความเสียหาย โจทก์จะใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้เพราะจำเลยยังไม่ได้จ่ายเงินค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองไป ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อโจทก์ได้รับเงินปันผลมาแล้วก็ได้นำไปหักชำระหนี้จำเลยต่อไป โดยหักค่าภาษีไว้ก่อน การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงถือได้ว่ากระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลย มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่าสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลยนั้น ไม่มีข้อความใดระบุว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อผู้ขาย โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลย ไม่มีหน้าที่ระบุชื่อตนเองเป็นผู้ซื้อผู้ขาย เป็นการทำหน้าที่ตัวแทนโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 มาตรา 21 บัญญัติว่า ‘การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียน หรือหลักทรัพย์รับอนุญาต และโดยสมาชิกเท่านั้น’ แสดงว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์จึงไม่อาจลงชื่อจำเลยเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายได้เพราะจำเลยมิใช่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ต้องระบุชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย เพราะโจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน กล่าวโดยสรุปแล้วฎีกาของจำเลย เรื่องโจทก์ทำหน้าที่แทนจำเลยในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุอายุความหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่โจทก์ออกเงินทดรองชำระค่าหุ้นแทนจำเลย อายุความฟ้องคดีจึงมีเพียง2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (14) โจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี จึงขาดอายุความพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มิใช่บุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (14) และโจทก์มิใช่เป็นพ่อค้า ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้เป็นช่างฝีมือและบุคคลจำพวกประกอบศิลปะอุตสาหกรรมตามมาตรา 125 (1) ทั้งมิใช่เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่างๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับ หรือค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา165 (7) แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนเรียกเอาเงินทดรองจากจำเลยซึ่งเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 816 ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับสิทธิเรียกร้องไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จำเลยทำสัญญามอบหมายให้โจทก์ทำการซื้อขายหุ้นแทน ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.22 เมื่อวันที่ 10มีนาคม 2521 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2524 ยังไม่ถึง10 ปี นับแต่วันที่โจทก์จำเลยทำสัญญาดังกล่าว คดีจึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกร้องทรัพย์สินและค่าเสียหายจากโจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์จำเลยชอบด้วยกฎหมาย ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว และจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องโจทก์ย่อมมีสิทธินำเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินและหุ้นของจำเลยตามฟ้องแย้งหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ก็ได้เมื่อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมาแล้วฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป
โจทก์แก้ไขคำฟ้องลดจำนวนเงินที่เรียกร้องให้จำเลยชำระ คงขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 763,977.76 บาท การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 768,814.99 บาท แก่โจทก์จึงเกินคำขอ สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 763,977.76บาท นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ’.

Share