แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดซึ่งเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์. ศาลได้ยกคำร้องของสามี คดีถึงที่สุดแล้ว.ภรรยาจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นอีกหาได้ไม่. กรณีเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
ย่อยาว
กรณีที่เป็นต้นเหตุให้เกิดคดีขึ้นมาในชั้นนี้เนื่องจากว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่ายืมเงินโจทก์ไปแล้วไม่ชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการยืมเงินในครั้งนั้นต่อมาจำเลยทั้งสองทำสัญญายอมความในศาล ยอมใช้เงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำยึดที่นา1 แปลง ที่บ้าน 1 แปลง และที่ไร่จาก 1 แปลง อ้างว่าเป็นของจำเลยที่2 ในชั้นแรก นายกัน รัตนรัตน์ บุตรเขยจำเลยที่ 2 และสามีผู้ร้องในคดีนี้ได้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท อ้างว่าเป็นของนายกันโดยบิดามารดายกที่นา ที่บ้าน และที่สวนให้ นายกันได้กรรมสิทธิ์และครอบครองตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ในคดีนั้นนายกันเบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ยกที่พิพาทให้เมื่อนายกันแต่งงานกับนางนำผู้ร้องในคดีนี้ และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความเป็นพยานว่าเป็นผู้ยกที่ดินให้แก่นายกันและนางนำ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินยังเป็นของจำเลยที่ 2 ให้ยกคำร้องของนายกันเสีย คดีถึงที่สุดเพียงชั้นอุทธรณ์ ต่อมานางนำ รัตนรัตน์ ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์รายนี้อีกอ้างว่าเป็นของนางนำผู้ร้อง โดยจำเลยที่ 2 และนางอั้น บิดามารดายกที่นาและที่บ้านรายนี้ให้แก่ผู้ร้องเมื่อ 30 ปีมานี้ ส่วนที่ไร่จากนั้น จำเลยที่ 2 และนางอั้นยกให้ผู้ร้องเมื่อประมาณ 11-12 ปีที่ดินทั้ง 3 แปลง ไม่มีหนังสือสำคัญ และผู้ร้องได้ครอบครองยึดถือเป็นของตนตลอดมา ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ (ปล่อยทรัพย์) รายนี้เสีย โจทก์คัดค้านคำร้องว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 มิได้ยกให้แก่ผู้ใด นายกัน รัตนรัตน์ ได้เคยร้องขอให้ปล่อยทรัพย์รายนี้ ซึ่งศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาให้ยกคำร้องไปแล้ว และโดยเหตุที่ในคดีนั้น ทรัพย์ที่ถูกยึดอ้างกันว่าเป็นสินบริคณห์ นายกันสามีจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวแก่ทรัพย์สินนั้นได้ และนายกันก็ได้ฟ้องไปเสร็จแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นภรรยาจึงไม่มีอำนาจร้องเข้ามาอีก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางนำผู้ร้องมีสิทธิร้องเข้ามาอีกได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของจำเลยที่ 2 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องมาอีก เป็นการฟ้องซ้ำให้ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ทั้งนายกันผู้ร้องในคดีเดิม และนางนำผู้ร้องในคดีนี้ต่างนำสืบแสดงรายละเอียดว่า จำเลยที่ 2 และนางอั้น ยกที่พิพาทให้ในขณะที่ผู้ร้องอยู่กินกับนายกันแล้ว และไม่ปรากฏว่ายกให้เป็นสินเดิมหรือสินส่วนตัวของผู้ร้อง การยกให้จึงต้องถือว่าเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์ ที่นายกันร้องให้ปล่อยทรัพย์และแพ้ความคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงเท่ากับผู้ร้องร้องเองเช่นเดียวกันเพราะนายกันอยู่ในฐานะเป็นผู้จัดการหรือทำแทนผู้ร้องในเรื่องการสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย การที่ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ขึ้นมาอีกในชั้นนี้ จึงนับว่าเป็นการฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายืน.