คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาโจทก์ที่ว่า เงินที่หักหรือลดเป็นค่าการตลาดร้อยละ 5 จากการขายผลิตผลงานฟาร์มของโจทก์ และเงินค่าเช่าหรือค่าตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาจากข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วว่า จะมีผลทางกฎหมายว่าเงินดังกล่าวเป็นของโจทก์ หรือเป็นเงินค่าใช้จ่ายปกติที่ต้องเสียซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริหารกับผู้ขายที่สามารถจัดเข้าไว้เป็นเงินกองกลางได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย เงินค่าการตลาดที่หักหรือลดให้ไว้จากการขายผลิตผลงานฟาร์ม ของโจทก์เกิดขึ้นหรือมีที่มาจากการขายผลิตผลงานฟาร์ม ของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์ หาได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้ เงินนี้เป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของหรือเป็นเงินกองกลางไม่ส่วนเงินที่ได้รับตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นดอกผล ย่อมตกได้แก่เจ้าของทรัพย์คือโจทก์ด้วยเมื่อไม่มีกฎหมายหรือระเบียบให้นำเงินดังกล่าวไปใช้ได้โดยไม่ต้องส่งเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปใช้โดยไม่ส่งคืนโจทก์ ไม่ว่าจะนำไปใช้โดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์ต่อโจทก์ก็ตาม ถือว่าเป็นการนำไปใช้โดยไม่มีอำนาจ จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พ.ศ. 2518 วิทยาเขตสุรินทร์เป็นสถาบันในสังกัดโจทก์ซึ่งคณะวิชาพืชศาสตร์และคณะสัตวศาสตร์จะผลิตผลผลิตและสินค้าออกจำหน่ายเป็นเงินรายได้งานฟาร์มนำเข้าเป็นผลประโยชน์ของวิทยาเขตสุรินทร์ จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นข้าราชการครูวิทยาเขตสุรินทร์ร่วมกันยักยอกเงินรายได้งานฟาร์มซึ่งเป็นรายได้ของโจทก์ที่จะต้องนำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินโดยจำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 หักเงินรายได้งานฟาร์มจำนวนร้อยละ 5 ทุกครั้งที่มีการรับเงินก่อนที่จะนำส่งเจ้าหน้าที่การเงิน ซึ่งไม่มีกฎระเบียบใดให้กระทำเช่นนั้นได้แล้วนำไปฝากไว้กับธนาคารในบัญชีเงินฝากส่วนตัวของจำเลยที่ 3และที่ 4 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและเป็นผู้ควบคุมบัญชี จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันหักเงินร้อยละ 5 จากเงินรายได้งานฟาร์มรวมทั้งสิ้น 108,315.50 บาท แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในทางราชการเป็นเงิน 25,120 บาท ส่วนที่เหลือ83,195.50 บาท นำไปใช้จ่ายโดยไม่เป็นประโยชน์แก่ทางราชการและไม่มีระเบียบให้นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายได้ และจำเลยที่ 1ได้นำที่ดินภายในวิทยาเขตสุรินทร์ไปให้บุคคลอื่นเช่าทำนาโดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้เก็บเงินค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 7,600 บาทซึ่งถือว่าเป็นเงินรายได้ของโจทก์ที่จะต้องนำส่งเข้าเป็นเงินรายได้แผ่นดิน แต่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่นำส่งกลับนำไปใช้จ่ายในด้านอื่น โดยที่ไม่มีระเบียบของทางราชการอนุญาตให้กระทำได้ จำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องร่วมกันรับผิดในเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงิน83,195.50 บาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้เงิน 7,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า เงินรายได้งานฟาร์มมิใช่เงินรายได้ของโจทก์ และจำเลยทั้งสี่มิได้เป็นผู้เอาเงินจำนวนดังกล่าวไปแต่นำไปเป็นเงินกองกลางเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนรวม ส่วนเงิน 7,600 บาท คนงานที่ทำนาอยู่เดิมได้จ่ายค่าตอบแทนเพื่อนำเป็นสวัสดิการส่วนรวมโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารมีมติให้นำไปทอดผ้าป่าเป็นเงิน 3,500 บาท ส่วนที่เหลือให้นำไปสมทบจัดงานปีใหม่โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังเป็นยุติว่า วิทยาเขตสุรินทร์อยู่ในสังกัดของโจทก์ ขณะเกิดเหตุมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้อำนวยการจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ คณะวิชาพืชศาสตร์และคณะวิชาสัตวศาสตร์ มีแผนกงานฟาร์มเพื่อให้นักศึกษาไว้ฝึกภาคปฏิบัติ เมื่อได้ผลผลิตการเกษตรจากงานฟาร์มก็จะนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกและภายในวิทยาเขตสุรินทร์ เงินที่ได้จากการขายผลผลิตการเกษตรจะนำส่งเป็นรายได้ของวิทยาเขตสุรินทร์เมื่อปี 2530 จำเลยที่ 1 ได้จัดประชุมคณะกรรมการบริหารมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการบริหารอยู่ด้วย ที่ประชุมได้ตกลงให้หักเงินค่าการตลาดร้อยละ 5 หรือเงินที่ทางร้านค้าให้ส่วนลดร้อยละ 5 เข้าเป็นเงินกองกลางและให้ตั้งคณะกรรมการจำหน่ายเพื่อทำหน้าที่ขายผลผลิตการเกษตรจากงานฟาร์มทั้งในและนอกเวลาราชการโดยให้หักเงินที่ขายได้ร้อยละ 5 เข้าเป็นเงินกองกลางแล้วนำไปฝากไว้กับธนาคารออมสินในนามของจำเลยที่ 3 และที่ 4และให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บบัญชีเงินฝากการเบิกเงินมีเงื่อนไขว่า จะต้องใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมของวิทยาเขตสุรินทร์เท่านั้นโดยผู้ขอเบิกจ่ายทำเรื่องถึงจำเลยที่ 2 เพื่อเสนอจำเลยที่ 1อนุมัติ ตั้งแต่ปี 2530-2532 มีรายรับจากการหักเงินค่าการตลาดร้อยละ 5 รวมทั้งสิ้น 108,315.50 บาท ใช้จ่ายไป 117,028 บาทคงติดลบ 8,912.50 บาท เกี่ยวกับที่ดินว่างเปล่าจำนวนประมาณ500 ไร่ ของวิทยาเขตสุรินทร์นั้น ที่ประชุมตกลงให้แบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆ แปลงละประมาณ 6 ไร่ ให้คนงานของวิทยาเขตสุรินทร์เข้าทำนา โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นข้าวไร่ละประมาณ 2-3 ถังต่อปี เพื่อเป็นกองกลาง โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 กับนายประเสริฐ ประชาราษฎร์ เป็นผู้ดำเนินการ ปี 2530 คนงานทำนาได้ผลผลิตมากขึ้นและข้าวมีราคาสูง จึงขอจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินแทนข้าว เป็นเงินทั้งสิ้น 7,600 บาท ได้นำไปใช้ทำบุญทอดผ้าป่าวัดโยธาประสิทธิ์ จำนวน 3,500 บาท และนำไปใช้จัดงานเลี้ยงวันปีใหม่ จำนวน 4,100 บาท ต่อมามีผู้ร้องเรียนกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โจทก์จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจำเลยทั้งสี่ ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2532 โจทก์ได้สั่งลงโทษทางวินัยแก่จำเลยทั้งสี่หลังจากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชดใช้ทางแพ่งซึ่งมีรายงานการสอบสวนว่าเงินรายได้งานฟาร์มที่หักไว้ร้อยละ 5เป็นเงินทั้งสิ้น 108,315.50 บาท ได้ใช้จ่ายไปเพื่อประโยชน์ในการบริหารวิทยาเขตเป็นเงิน 25,120 บาท และได้จ่ายไปเพื่อการอื่นโดยไม่มีระเบียบรองรับจำนวน 83,195.50 บาทสมควรให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ส่วนเงินค่าตอบแทนการทำนา จำนวน 7,600 บาท ได้นำไปใช้ทำบุญทอดผ้าป่าวัดโยธาประสิทธิ์จำนวน 3,500 บาท และนำไปใช้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ จำนวน 4,100 บาท เงินจำนวนดังกล่าวสมควรส่งเป็นรายได้แผ่นดิน จึงให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินส่วนนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ได้อนุมัติตามที่เสนอ
ที่โจทก์ฎีกาว่า เงินที่หักหรือลดเป็นค่าการตลาดร้อยละ 5จากการขายผลิตผลงานฟาร์มของโจทก์ และเงินค่าเช่าหรือค่าตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย เพราะจากข้อเท็จจริงที่ยุติดังกล่าวแล้วจะมีผลทางกฎหมายว่าเงินดังกล่าวเป็นของโจทก์หรือมิใช่ของโจทก์หากแต่เป็นเงินค่าใช้จ่ายปกติที่ต้องเสียซึ่งเป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการบริหารกับผู้ขายอันสามารถจัดเข้าไว้เป็นเงินกองกลางได้จึงไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและไม่ต้องห้ามฎีกาดังที่จำเลยทั้งสี่แก้ฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าค่าการตลาดที่หักหรือลดไว้เป็นเงิน 83,195.50 บาท และค่าตอบแทนการใช้ที่ดินเป็นเงิน 7,600 บาท เป็นเงินของโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนและรับฟังเป็นยุติว่า เงิน 83,195.50 บาท เป็นค่าการตลาดที่หักหรือลดให้ไว้ร้อยละ 5 จากการขายผลิตผลงานฟาร์มของโจทก์และเงิน 7,600 บาท เป็นค่าเช่าหรือค่าตอบแทนการใช้ที่ดินของโจทก์เห็นว่า เงินที่หักไว้หรือมีการลดให้แล้วรับไว้เป็นค่าการตลาดร้อยละ 5 นี้ เกิดขึ้นหรือมีที่มาจากการขายผลิตผลงานฟาร์มของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์ หาได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้เงินเช่นนี้เป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของหรือเป็นเงินกองกลางแต่อย่างใดไม่ และเงินที่ได้รับตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นดอกผล ย่อมตกได้แก่เจ้าของทรัพย์คือโจทก์ด้วยและฝ่ายจำเลยก็ยอมรับว่าไม่มีกฎหมายหรือระเบียบให้หักเงินร้อยละ 5 ดังกล่าว หรือรับรองให้นำเงินดังกล่าวไปใช้ได้โดยไม่ต้องส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำเงิน 83,195.50 บาท ไปใช้โดยไม่ส่งคืนโจทก์ก็ดีหรือจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันนำเงิน 7,600 บาท ไปใช้โดยไม่ส่งคืนโจทก์ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้โดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์ต่อโจทก์ก็ตาม ถือว่าเป็นการนำทรัพย์ของโจทก์ไปใช้โดยไม่มีอำนาจ ย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ทวงถามแล้วฝ่ายจำเลยเพิกเฉย ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดแต่โจทก์ขอนับแต่วันฟ้อง จึงให้นับแต่วันฟ้องตามที่โจทก์ขอที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้อง
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงิน 83,195.50 บาทและให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้เงิน 7,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

Share