คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ โดยยอมรับว่า ล. เป็นหนี้โจทก์จำนวน 300,000 บาทยังมิได้ชำระและจำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมาย ข้อคัดค้านของโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบฟังไม่ขึ้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาว่า ล. เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดไม่เกิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยมา จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ยินยอมชำระหนี้จำนวนดังกล่าวให้โจทก์จนเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2523 แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามกำหนดขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 525,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน ของเงินต้น 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า หนังสือสัญญาชำระหนี้ท้ายฟ้องเป็นนิติกรรมอันเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวง เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นยึดทรัพย์ต่าง ๆ ของนายลักษณ์ไปชำระหนี้ หนังสือสัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะ หากฟังว่าหนังสือสัญญาชำระหนี้ทำขึ้นจริงและเป็นการทำขึ้นโดยเจตนาของจำเลยทั้งสองก็เป็นการทำนิติกรรมอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอำนาจจัดการจากศาล ขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้งจึงเป็นโมฆะหรือโมฆียะจำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิบอกล้าง บอกเลิก เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน300,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องแต่ไม่เกิน 5 ปี และนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินเสร็จสิ้นให้โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2521 นายลักษณ์ได้ทำหนังสือสัญญากับโจทก์ความว่า โจทก์ยอมให้นายลักษณ์ยืมเงินในวงเงิน 300,000 บาท โดยให้ยืมเงินเป็นคราว ๆ ไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2521 เป็นต้นไป ทั้งนี้เมื่อรวมแล้วไม่เกินจำนวน 300,000 บาท และเงินที่นายลักษณ์ยืมไปจากโจทก์แต่ละคราวนายลักษณ์ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 1.25ต่อเดือน โดยชำระให้เป็นรายเดือน ณ ภูมิลำเนาของโจทก์จนกว่าจะชำระเงินที่ยืมไปเสร็จ ส่วนเงินต้นที่ยืมแต่ละคราวนั้นนายลักษณ์จะชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนทุกรายพร้อมดอกเบี้ยเพื่อเป็นหลักประกันในการที่นายลักษณ์จะชำระหนี้ตามสัญญาคืนให้แก่โจทก์ นายลักษณ์ได้มอบโฉนดที่ดินพร้อมด้วยหนังสือมอบอำนาจยอมให้โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ตามสัญญา นายลักษณ์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่5 กันยายน 2522 ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2523 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยา และจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบุตรของนายลักษณ์ได้ทำหนังสือสัญญาชำระหนี้ให้ไว้แก่โจทก์ความว่า ตามที่นายลักษณ์ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2521 จำนวน 300,000บาท และยังมิได้ชำระให้แก่โจทก์นั้น จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของนายลักษณ์ยอมรับสภาพหนี้จำนวน 300,000 บาทซึ่งนายลักษณ์ได้กระทำขึ้น โดยจะชำระให้เรียบร้อยในเดือนธันวาคม2523 และวินิจฉัยว่า แม้ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 จะไม่มีข้อความตอนใดระบุว่านายลักษณ์ได้รับเงิน 300,000 บาท ตามที่โจทก์รับจะให้ยืมไปจากโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาข้อความตามหนังสือสัญญาชำระหนี้เอกสารหมาย จ.7 อันเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทั้งสองทำให้ไว้แก่โจทก์ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ตามที่นายลักษณ์ ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 300,000 บาทและยังมิได้ชำระให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยอมรับสภาพหนี้จำนวน300,000 บาท ซึ่งนายลักษณ์ได้กระทำขึ้น โดยจะชำระให้เรียบร้อยในเดือนธันวาคม 2523 จำเลยทั้งสองนำสืบแต่เพียงว่า ไม่ทราบว่านายลักษณ์จะเป็นหนี้โจทก์จริงหรือไม่เท่านั้น มิได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่านายลักษณ์มิได้เป็นหนี้โจทก์จริงดังที่ให้การไว้ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมรับว่านายลักษณ์เป็นหนี้โจทก์จำนวน 300,000 บาท และยังมิได้ชำระให้แก่โจทก์จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาชำระหนี้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมาย ข้อคัดค้านของโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบฟังไม่ขึ้นศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาว่านายลักษณ์เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดไม่เกิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
พิพากษายืน

Share