แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ถูกยึดในคดีอื่น มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ศาลเห็นว่า ตนไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ยื่นคำขอเฉลี่ยไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาและศาลขายทอดตลาดได้เงิน ๒๑,๑๐๐ บาท ผู้ร้องยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์อ้างว่าเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ อยู่ ๑๒,๐๐๐ บาท ตามคำพิพากษา จำเลยยังไม่ชำระหนี้และทรัพย์สินอื่นก็ไม่มี
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องสมยอมกับจำเลยและทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่อีก
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ผู้ร้องได้รับเฉลี่ยทรัพย์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขออนุญาตต่อศาลขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ถูกยึดในคดีอื่นนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ขอเฉลี่ยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ด้วยเท่านั้น ก็มีสิทธิได้รับการเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก เพราะความในวรรคสองที่ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเฉลี่ยไม่ว่าในกรณีใด ๆ เว้นแต่ในกรณีเดียว คือศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอเฉลี่ยไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมแสดงอยู่แล้วว่าผู้ยื่นคำขอเฉลี่ยต้องนำสืบความข้อนี้ให้ศาลเห็นเช่นนั้นด้วยศาลจึงจะอนุญาตให้เฉลี่ยได้
ผู้ร้องตอบถามค้านว่า จำเลยที่ ๑ มีหลักทรัพย์ เมื่อจำเลยที่ ๑ กู้เงินไปหมื่นบาทนั้น จำเลยที่ ๑ ได้เอา ส.ค.๑ เลขที่ ๙ มาให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันด้วย ขณะนี้ ส.ค.๑ ยังอยู่ที่ผู้ร้องผู้ร้องเข้าใจว่าหากจะยึดมาขายทอดตลาด คงไม่พอชำระหนี้ หากผู้ร้องเฉลี่ยหนี้จากโจทก์ได้เงินไม่ขาดมาก ผู้ร้องก็จะไม่ยึดที่ดินตาม ส.ค.๑ ถ้าผู้ร้องเฉลี่ยหนี้ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนี้ ผู้ร้องก็พอใจ
ศาลฎีกาเห็นว่า คำผู้ร้องไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง การที่ผู้ร้องยอมรับที่ดินตาม ส.ค.๑ ไว้เป็นประกันเงินกู้ ย่อมแสดงในตัวว่าราคาที่ดินตาม ส.ค.๑ นั้นเป็นหลักประกันเพียงพอ จึงต้องถือว่าผู้ร้องนำสืบให้ศาลเห็นไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้โดยสิ้นเชิง
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ปรากฏชัดตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๐๘/๒๕๑๓ ที่ผู้ร้องอ้างมาเองว่า เมื่อผู้ร้องฟ้องภริยาและบุตรของจำเลยที่ ๑ ลูกหนี้เรียกเงินกู้ ๑๐,๐๐๐ บาท ในฐานะผู้รับมรดก ๆ ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ไม่ได้กู้ แต่เป็นหนี้ค่าซื้อเชื่อปุ๋ยซึ่งได้ใช้ให้แล้วเหลือเพียง ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้นซึ่งขาดอายุความแล้วด้วย และสัญญากู้โจทก์ปลอมขึ้น วันนัดพร้อมคู่ความไม่ตกลงกัน ศาลจึงนัดสืบพยานโจทก์ (คือผู้ร้อง) ก่อน ผู้ร้องขอเลื่อนไปสืบพยานวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๓ แต่แล้วในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ผู้ร้องก็ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ (ภริยาลูกหนี้) แล้วผู้ร้องกับจำเลยที่ ๒ (บุตรลูกหนี้) ทำยอมความกันใช้เงินกู้และดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียมรวม ๑๒,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ จะนำเงินทั้งหมดมาวางศาลให้ผู้ร้องรับเอาภายใน ๕ วัน ถ้าผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที แต่ในสำนวนดังกล่าวมีหลักฐานเพียงแค่วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๓ เท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ นำเงินมาวางศาลในวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๑๓ ตามยอมความหรือไม่ หรือผิดนัดหรือไม่แล้ววันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๓ ผู้ร้องก็มายื่นคำขอเฉลี่ยในคดีนี้เพื่อให้ทันกำหนดขอเฉลี่ยใน ๑๔ วันนับแต่วันขายทอดตลาดเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ซึ่งถูกต้องสมจริงตามคำคัดค้านของโจทก์ แสดงพิรุธให้เห็นว่าเหตุใดบุตรของลูกหนี้จึงทำยอมใช้เงินแก่ผู้ร้องเต็มจำนวนเงินกู้และดอกเบี้ยทั้ง ๆ ที่ได้ต่อสู้คดีอยู่ว่า ผู้ร้องกับพวกสมคบกันปลอมสัญญากู้ และลูกหนี้มิได้กู้ แต่เป็นหนี้ค่าปุ๋ยซึ่งใช้เงินแล้ว เหลือเพียง ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง แม้ในวันนัดพร้อม ภริยาและบุตรของลูกหนี้ก็ไม่ตกลงที่จะใช้เงินแก่ผู้ร้องอยู่แล้วด้วย ความข้อนี้เมื่อพิเคราะห์คำร้องที่ว่า ถ้าเฉลี่ยหนี้จากโจทก์ได้เงินเพียงครึ่งหนึ่ง (คือ ๖,๐๐๐ บาท) ก็พอใจแล้ว และไม่คิดจะยึดที่ดินตาม ส.ค.๑ ของลูกหนี้ (ซึ่งจะตกได้แก่ภริยาและบุตรของลูกหนี้) ย่อมแสดงว่าผู้ร้องไม่สุจริตในการมาขอเฉลี่ยหนี้จากโจทก์ ถูกต้องตามที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องเอาเปรียบโจทก์เกินไปในการขอเฉลี่ยหนี้ ต้องถือว่าผู้ร้องใช้สิทธิไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ อีกประการหนึ่งด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้อง