แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 กับพวกเคยถูกฟ้องเรื่องละเมิดและผิดสัญญา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะคู่สัญญาส่วนจำเลยอื่นให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกเรื่องละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ดังนี้คดีก่อนโจทก์กับจำเลยไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันและไม่ใช่ประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติราชการตามกฎหมายซึ่งกำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยเคร่งครัดการที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อระเบียบของทางราชการโดยชัดแจ้ง ดังนี้เป็นการประมาทเลินเล่อ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยกระทำละเมิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงิน 216,248 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 รับผิดในยอดเงิน 145,445 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสี่แถลงรับกันว่านายวินัย ธีระพันธ์ เจ้าหนี้สภาตำบลบ้านกระทุ่ม เคยฟ้องโจทก์และจำเลยทั้งห้า ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 239/2520 หมายเลขแดงที่67/2521 คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์เพราะคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชำระเงิน 216,248 บาท โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ให้รับผิดเพียง 145,445บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ส่วนปัญหาว่า ฟ้องคดีนี้ซ้ำซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 67/2521 ของศาลชั้นต้นหรือไม่นั้น คดีดังกล่าวนายวินัย ธีระพันธ์ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ จำเลยที่ 2 และพวกอีกรวม 9 คน เรื่อง ละเมิดและผิดสัญญาศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นคู่สัญญาส่วนจำเลยอื่น ๆ ให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวก เรื่องละเมิด เรียกทรัพย์คืน เห็นได้ว่าโจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยที่ 2 มาก่อน เพียงแต่จำเลยที่ 2 เคยถูกฟ้องด้วยกันกับโจทก์เท่านั้น แม้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในคดีนั้นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์คดีนั้นเสียหาย ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 5ก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำละเมิดหรือไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์คดีนี้ด้วย ทั้งคดีดังกล่าวโจทก์กับจำเลยก็ไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันหรือประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 มีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่สภาตำบลร่วมกับจำเลยที่ 3วันที่ 22 กันยายน 2518 จำเลยที่ 2 ลงชื่อในใบถอนเงินธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาเสนา จากบัญชี ปชล…อำเภอเสนา แล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นกรรมการและประธานกรรมการสภาตำบลบ้านกระทุ่ม และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการสภาตำบลบ้านกระทุ่ม วันที่ 24 กันยายน 2518 จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในใบถอนเงินธนาคารดังกล่าวอีกฉบับหนึ่ง แล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 5 เพียงคนเดียวตามเอกสารใบถอนเงินธนาคารหมาย ปจ.14, ปจ.15 เมื่อจำเลยที่ 5 ถอนเงินจากธนาคารได้แล้วได้ยักยอกเงินไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 216,248 บาทตั้งแต่วันที่ถอนเงินได้ เห็นว่า เหตุที่จำเลยที่ 5 กระทำความผิดยักยอกเงินดังกล่าวได้สะดวก เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบวิธีปฏิบัติการเบิกจ่ายเงินตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง พ.ศ.2518 ซึ่งระเบียบดังกล่าวนี้ ข้อ 18 ระบุว่า ‘การรับเงินจากอำเภอ ให้ประธานคณะกรรมการ ปชลต. และกรรมการอื่นอีกอย่างน้อย2 คน ร่วมกันไปรับเงิน’ เป็นระเบียบที่กำหนดหรือบังคับให้มีจำนวนกรรมการอย่างน้อย 3 คน และคนหนึ่งต้องเป็นประธานกรรมการ จึงจะรับเงินได้ เป็นระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดไม่ให้ใช้ดุลพินิจ เพราะจำนวนเงินที่รับแต่ละครั้งมีเป็นจำนวนมาก การวางระเบียบดังกล่าวขึ้นเพื่อให้การรับเงินเป็นไปโดยถูกต้อง ไม่ให้สูญหาย และการที่บังคับให้มีบุคคลหลายคนเข้ามาร่วมรับเงิน ย่อมเป็นการป้องกันไม่ให้กรรมการคนใดคนหนึ่งทุจริตได้ง่าย จำเลยที่ 2ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอเสนา มีหน้าที่ต้องปฏิบัติราชการตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยเคร่งครัดการที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ราชการขัดต่อระเบียบของทางราชการโดยชัดแจ้งเช่นนี้เป็นการประมาทเลินเล่อและผิดกฎหมายทำให้โจทก์เสียหายโดยตรง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.