คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดฐานฆ่าคนตายนั้น เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบกับหลักฐานทางวิชาการได้ความว่า ขณะปืนลั่นนั้น ปืนอยู่ในมือจำเลย มือของผู้ตายไม่มีอาการเกร็งและไม่มีรอยเขม่าดินปืน แต่ที่มือจำเลยมีเขม่าดินปืนมาก และวิถีกระสุนเฉียงผิดธรรมดาอันเป็นเพียงข้อคิดเห็นและความสันนิษฐานไม่แน่นอนเช่นนี้ เมื่อยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันใช้ปืนยิงนางสมัย หงษ์วิหค ๑ นัด โดยเจตนาฆ่าให้ตาย กระสุนปืนถูกหน้าอกซ้ายตัดขั้วหัวใจถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลในคืนนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้จำคุก ๑๕ ปี ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ และให้ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ด้วยอีกคนหนึ่ง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาปรึกษาในที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพยานหลักฐานที่นำสืบพิจารณาประกอบกับหลักฐานทางวิชาการที่ปรากฎ คือ (๑) ที่อกแถบซ้ายบนระบายเสื้อของผู้ตายมีรอยกระสุนปืนไหม้เป็นวงกลม มีเขม่าดินปืน ระบายของเสื้อแถบขวามีรอยฉีกขาด (๒) มือของผู้ตายไม่มีอาการเกร็ง (๓) วิถีกระสุนวิ่งเฉียงจากราวนมซ้ายไปไขสันหลังขวา (๔) ที่มือผู้ตายไม่มีรอยเขม่าดินปืนเลย ที่มือของจำเลยที่ ๑ มีเขม่าดินปืนที่หลังมือซ้ายและฝ่ามือขวามาก ที่ฝ่ามือของจำเลยที่ ๒ ทั้งสองข้างมีเขม่าดินปืนอยู่บ้างเล็กน้อย (๕) ปืนอยู่ที่บนลังเครื่องมือห่างทางซ้ายมือจากศพผู้ตายราว ๑ เมตร ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะกระสุนปืนลั่นนั้น ปืนอยู่ในมือของจำเลยที่ ๑ ส่วนจะลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานฆ่าคนโดยเจตนาตามฟ้องของโจทก์ได้หรือไม่นั้น เห็นว่าลงโทษไม่ได้ แม้จะปรากฎว่ารอบบาดแผลที่ถูกยิงที่ราวนมซ้ายและมีรอยเขม่าดินปืนซึ่งแสดงว่าถูกยิงในระยะใกล้ชิดก็ตาม แต่ก็อาจเป็นโดยจำเลยที่ ๑ เอาปืนมาจ่อขู่เพื่อมิให้ผู้ตายขนของออกไปจากบ้าน แล้วผู้ตายใช้มือปัดปืน ปืนจึงลั่นก็ได้ ในข้อเจตนาฆ่านั้นไม่น่ามี เพราะได้ความจากถ้อยคำของนายประยูรพยานของโจทก์จำเลยว่าก่อนเกิดเหตุไม่เคยเห็นผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกับจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๒ เลย และเมื่อได้ยินเสียงปืนพยานวิ่งเข้าไปดูห้องที่เกิดเหตุก็เห็นจำเลยที่ ๑ กำลังประคองผู้ตายอยู่ และบอกให้พยานช่วยไปแจ้งความให้ แสดงว่าจำเลยที่ ๑ คงรักใคร่อาลัยผู้ตายอยู่ นอกจากนั้นยังปรากฎด้วยว่า ขณะถูกยิงผู้ตายกำลังมีครรภ์ราว ๖ เดือนแล้ว ยิ่งประกอบให้เห็นเด่นชัดขึ้นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่น่าจะมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไม่มีสาเหตุโกรธแค้นร้ายแรงอย่างใด อย่างไรก็ดี กรณีเป็นเพียงข้อคิดเห็นและความสันนิษฐานอันไม่แน่นอน เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ กฎหมายให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับตัวจำเลยที่ ๑ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share