คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนขายบ้านให้โจทก์ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะขายบ้านโดยมีหลักฐาน เป็นหนังสือปรากฏว่าตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น จำเลยที่ 2 พิมพ์ ลายนิ้วมือในสัญญาโดยมีพยานรับรองเพียงคนเดียวซึ่งการพิมพ์ลายนิ้วมือจะต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองสองคน จึงจะเสมอกับลงลายมือชื่อ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรคสาม ที่โจทก์ลงชื่อในสัญญาไม่มีข้อความระบุว่าเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 2 ต้องถือว่าโจทก์ลงชื่อในฐานะผู้ซื้อ จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ฝ่ายที่ต้องรับผิดส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับแก่จำเลยทั้งสองตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวได้
โจทก์มีอำนาจฟ้องตามสัญญาจะซื้อจะขายได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2505 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายบ้านชั้นเดียวหลังคาจาก 2 หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ให้แก่โจทก์ในราคา 3,000 บาท ในวันทำสัญญาได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ 1,400 บาท ส่วนที่เหลือ 1,600 บาท โจทก์จะชำระให้เมื่อจำเลยจดทะเบียนขายบ้านให้โจทก์ ณ ที่ทำการอำเภอสัตหีบแล้ว หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยขออาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้โจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยจัดการจดทะเบียนโอนบ้านและรับเงินส่วนที่เหลือ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้โจทก์และรับเงิน 1,600 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนผูกพันกับสัญญาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาจะขายบ้านให้โจทก์ เมื่อประมาณ 19 ปีเศษ มานี้โจทก์ตกลงให้จำเลยปลูกพืชไร่ในที่ดินโจทก์ซึ่งขณะนั้นเป็นป่า โดยโจทก์ใช้รถไถหักร้างถางพงและคิดค่ารถจากจำเลย ระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 ได้ยืมเงินโจทก์ประมาณ 1,800 บาท โจทก์ให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือในกระดาษเปล่าอ้างว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมต่อมาในปีเดียวกัน จำเลยที่ 2 นำเงินไปชำระให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับเงินโดยยกหนี้ให้เพราะพอใจการทำงานของจำเลยที่ทำให้ที่ของโจทก์เจริญขึ้นโจทก์กรอกข้อความเท็จลงในเอกสารการกู้ยืมเป็นสัญญาจะซื้อจะขายบ้านเป็นโมฆะ คดีของโจทก์ขาดอายุความ

เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าคดีขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นข้ออื่นนอกจากเรื่องอายุความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 โดยมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียวสัญญาไม่สมบูรณ์มีผลเท่ากับจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าว จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ว่าจำเลยที่ 2 ลงลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารหมาย จ.1 โดยมีพยานรับรองเพียงคนเดียวไม่สมบูรณ์เท่ากับไม่ได้ทำสัญญานั้นนอกประเด็น เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 2 รับว่าลงลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อขายคดีต้องฟังยุติตามนั้น ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.1 โจทก์นำสืบฟังได้ว่าหลังจากทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยทั้งสองรับเงินจากโจทก์อีกหลายครั้ง ซึ่งเป็นการวางประจำหรือชำระหนี้บางส่วน จำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติตามสัญญาพิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจากโจทก์ 1,600 บาท และจดทะเบียนโอนบ้านพิพาทให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญาจะขายบ้านให้โจทก์แต่เคยกู้เงินโจทก์และได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในกระดาษเปล่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ได้และคดีขาดอายุความ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 นั้นจำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาซึ่งจะต้องมีพยานลงลายมือชื่อไว้สองคน จึงจะเสมอกับลงลายมือชื่อดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในสัญญามีนายเชิดลงชื่อเป็นพยานรับรองเพียงคนเดียว ที่โจทก์ลงชื่อในสัญญาไม่มีข้อความระบุว่าเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยที่ 2 ต้องถือว่าโจทก์ลงชื่อในฐานะผู้ซื้อเช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าเอกสารหมาย จ.1 ได้ลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ด้วย คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยทั้งสองโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้ไว้โดยตรง แต่ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลเห็นสมควรย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ 1,400 บาท นั้น พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าหลังจากทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยทั้งสองได้รับเงินจากโจทก์อีกหลายครั้งเป็นการวางประจำหรือชำระหนี้บางส่วนนั้นตามคำฟ้องของโจทก์นอกจากเงิน 1,400 บาท ที่เป็นเงินมัดจำแล้ว โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองได้รับเงินค่าขายบ้านไปจากโจทก์อีก ทั้งยังมีคำขอให้รับเงินค่าบ้านที่เหลืออีก 1,600 บาทด้วย

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share