แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคำให้การของจำเลยปฏิเสธการกู้ยืมตามฟ้อง พอมาในชั้นพิจารณาตอนแรกจำเลยแถลงรับโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้ตามฟ้องจริง ศาลจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วจำเลยยื่นคำร้องว่าที่แถลงไปนั้นคลาดเคลื่อนขอดูต้นเอกสาร ครั้นตรวจเอกสารต้นสัญญากู้แล้วจำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือจำเลยในสัญญากู้ที่ฟ้อง ดังนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งในหน้าที่นำสืบใหม่ให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินไป 4,000 บาท จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน ครบกำหนดชำระแล้วได้ทวงถามก็ไม่ชำระขอให้บังคับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้และค้ำประกัน แต่เคยทำสัญญาขายเสาให้ 60 บาท รับเงินล่วงหน้าไปโจทก์ให้ทำสัญญากู้เงิน 60 บาทไว้ สัญญากู้ตามฟ้องถ้ามีก็แก้ไขเพิ่มเติมหรือปลอมขึ้นใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินต้นและดอกเบี้ยถ้าไม่ชำระจึงบังคับจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยรับว่าได้กู้เงินโจทก์ไปจริงและในเอกสารเงินกู้เป็น 4,000 บาท จำเลยจะนำสืบว่ากู้เงินไปเพียง 60 บาทเป็นการสืบพยานบุคคลหักล้างเอกสารต้องห้าม
ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นได้เห็นว่าจำเลยแถลงรับโดยความเข้าใจผิดและได้อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำแถลงของจำเลย ทั้งมีคำสั่งในหน้าที่นำสืบใหม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ข้อฎีกาของโจทก์ในเรื่องเหล่านี้จึงตกไป ตอนแรกรับว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้จริงศาลจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วจำเลยยื่นคำร้องว่าแถลงคลาดเคลื่อนไปขอดูเอกสารก่อน ครั้นตรวจดูสัญญากู้แล้วจำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนในสัญญากู้ที่ฟ้อง ศาลจึงสั่งใหม่ให้โจทก์นำสืบก่อน) พิพากษายืน