คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความในคดีนี้ คงมีแต่คำเบิกความของ ถ.กับก.ในคดีอื่นและคำให้การชั้นสอบสวนของถ. กับก. เป็นพยานประกอบ ซึ่งโจทก์มีสิทธิอ้างอิงเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 แต่คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าว จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านและเป็นพยานบอกเล่า แม้จะระบุถึงตำหนิรูปพรรณของคนร้ายที่ชื่อ ป.ก็ได้ความแต่เพียงว่า นาย ป. พักอาศัยอยู่บ้านพัสดีเรือนจำจังหวัดเท่านั้น ทั้งมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกับนายป.ดังกล่าวเมื่อโจทก์ไม่มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีอื่น จึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี คำให้การชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความในคดีนี้ คงมีแต่คำเบิกความของนายเถลิง จุฑางกูรและนางสาวกุมภาหรือแจ๋ว โชติมุข ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1715/2532 ของศาลชั้นต้น และคำให้การชั้นสอบสวนของนายเถลิงนางสาวกุมภา และผู้ตายเอกสารหมาย จ.5, จ.6 และ จ.7 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3089/2533 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานประกอบจึงมีปัญหาต่อไปว่าพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1715/2532และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3089/2533 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานทั้งสองสำนวนโดยมีคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของนางเถลิงและนางสาวกุมภากับคำให้การชั้นสอบสวนผู้ตายอยู่ในสำนวนนั้นด้วย ซึ่งโจทก์มีสิทธิอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ส่วนจะรับฟังลงโทษได้เพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คดีดังกล่าวนายเถลิงและนางสาวกุมภาได้เบิกความกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยระบุว่า คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายคือนายป้อม รวมทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนก็ได้ให้การไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า วันเกิดเหตุผู้ตายมีเรื่องวิวาทกับพวกนายป้อม โดยผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ทำร้ายนายป้อมแล้วเลิกรากันไป นางสาวกุมภาทราบจากนายป้อมเย็นวันเกิดเหตุว่า นายป้อมจะพาพวกไปดักฆ่ากลุ่มผู้ตายต่อมาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา ก็เกิดเหตุคดีนี้ แต่คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าว จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านและเป็นพยานบอกเล่า แม้นางสาวกุมภาจะได้ระบุถึงตำหนิรูปพรรณของนายป้อมก็ได้ความแต่เพียงว่านายป้อมพักอาศัยอยู่บ้านพัสดีเรือนจำจังหวัดร้อยเอ็ด เท่านั้น ทั้งนายเถลิงและนางสาวกุมภามิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกับนายป้อม ส่วนพยานอื่นของโจทก์คงมีแต่นายประสิทธิ์ บิดาผู้ตาย ร้อยตำรวจเอกสิงห์ทอง พลลา ผู้จับกุมจำเลย และร้อยตำรวจโทสมพงษ์พนักงานสอบสวน ซึ่งล้วนเป็นเพียงพยานบอกเล่า ด้วยเหตุนี้ลำพังแต่คำเบิกความพยานโจทก์ในคดีอื่นคำให้การในชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีอื่นใดที่จะปรากฏข้อเท็จจริงให้พอฟังได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง แม้ชั้นจับกุมจำเลยจะรับสารภาพแต่จำเลยก็อ้างว่าถูกข่มขู่ ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาตลอดมาว่า ไม่ได้กระทำความผิด พยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่พอฟังลงโทษจำเลย คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share