แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ระหว่างสมรสที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยร่วมรับผิดคดีนี้เป็นหนี้อันเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถว 3 ชั้น เมื่อปี 2532 เพื่อให้จำเลยและบุตรอยู่อาศัยซึ่งระหว่างนั้นโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า ต่อมาเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ยืมเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ตราด จำกัด และเดือนตุลาคม 2546 ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ระยอง จำกัด เพื่อชำระหนี้ค่าที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าว ดังนั้น ที่ดินพร้อมตึกแถวจึงเป็นสินสมรสและหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมดังกล่าวถือว่าเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่โจทก์และจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกันและต้องรับผิดร่วมกัน ซึ่งโจทก์สามารถฟ้องแย้งให้จำเลยร่วมรับผิดในคดีก่อนได้อยู่แล้ว เพราะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องในเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสในคดีก่อนที่โจทก์อาจดำเนินคดีได้ไปในคราวเดียวกัน การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 60,382.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความจำนวน 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 1,500 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์แต่เพียงประเด็นเดียวว่า ฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 63/2549 ที่จำเลยฟ้องโจทก์และนางสุดใจนั้น คดีดังกล่าวโจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากันมีที่ดินจำนวน 2 แปลง ตั้งอยู่ตำบลตาขัน และตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยขอแบ่งทรัพย์สินกึ่งหนึ่งทั้งโจทก์ยังให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้เช่าซื้อตึก 3 ชั้น เลขที่ 3/19 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อให้บุตรทั้งสองและจำเลยอยู่อาศัย ประมาณปี 2547จำเลยบังคับให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมตึกดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสอง เมื่อพิจารณาที่ดินและตึก 3 ชั้น ตามคำให้การและฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อนแล้วก็คือที่ดินและตึกแถวอันเป็นสินสมรสที่โจทก์นำมาฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ร่วมคดีนี้นั่นเอง ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรสไว้ด้วย แม้ในที่สุดศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์สินตามฟ้องแย้งว่าไม่ใช่สินสมรส เมื่อคู่ความไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวคงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นอื่น ๆ ต่อมา ประเด็นเกี่ยวกับสินสมรสจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและถือว่าศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 เมื่อปรากฏจากคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์คดีนี้ได้ความว่า หนี้ระหว่างสมรสที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยร่วมรับผิดคดีนี้เป็นหนี้อันเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถว 3 ชั้น เป็นเงิน 600,000 บาท เมื่อปี 2532 เพื่อให้จำเลยและบุตรอยู่อาศัยซึ่งระหว่างนั้นโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า ต่อมาเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ยืมเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ตราด จำกัด และเดือนตุลาคม 2546 ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ระยอง จำกัด เพื่อชำระหนี้ค่าที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าว ดังนั้น ที่ดินพร้อมตึกแถวจึงเป็นสินสมรสและหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมดังกล่าวถือว่าเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่โจทก์และจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกันและต้องรับผิดร่วมกัน ซึ่งโจทก์สามารถฟ้องแย้งให้จำเลยร่วมรับผิดในคดีก่อนได้อยู่แล้ว เพราะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องในเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสในคดีก่อนที่โจทก์อาจดำเนินคดีได้ไปในคราวเดียวกัน การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ