แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเบิกความว่า จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุประมาณ 18 ปี ถึง 19 ปี เพราะรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งในข้อนี้ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าอายุ หากดูภายนอกเพียงผิวเผินอาจเข้าใจได้ว่ามีอายุเกิน 18 ปีแล้ว เจ้าของร้านอาหารริมชีรับผู้เสียหายที่ 1 เข้าทำงานเนื่องจากเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 มีอายุเกิน 18 ปี ส่วนผู้เสียหายที่ 3 ก็เบิกความทำนองเดียวกันว่า หากเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผู้เสียหายที่ 1 จะรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อน บุคคลทั่วไปมองผู้เสียหายที่ 1 แล้วอาจเข้าใจได้ว่ามีอายุ 17 ถึง 18 ปี จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารริมชีมาก่อนโดยทำงานตั้งแต่เวลา 9 ถึง 19 นาฬิกา อีกทั้งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 บอกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ว่านอกจากจำเลยแล้วยังมีชายอื่นกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อีก 11 คน จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่ารูปร่างและลักษณะของผู้เสียหายที่ 1 ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 มีอายุเกินกว่า 18 ปี จำเลยอาจสำคัญผิดว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุเกิน 18 ปี ดังที่อ้างก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดทั้งสองฐานตามฟ้องและทำให้เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317 วรรคสาม
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิด 3 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีเป็นความผิด 3 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี รวมทั้งหมด 6 กระทง รวมจำคุก 72 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไปนอนเป็นเพื่อนนางสาวมะลิ จำเลยมาหาและพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวมะลิไปเที่ยวที่สวนสาธารณะพญาแถน เมื่อกลับไปที่บ้านของนางสาวมะลิแล้ว นางสาวมะลิเข้านอน ส่วนจำเลยและผู้เสียหายที่ 1 นั่งคุยกันต่อ จำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยวแล้วกลับมาส่ง จากนั้นจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม วันต่อมาเวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยมาหาผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านของนางสาวมะลิอีก จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านจำเลยและร่วมประเวณีกันโดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม แล้วจำเลยได้ให้เงินแก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 60 บาท หลังจากนั้นอีก 2 วัน เวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยมาหาผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านนางสาวมะลิแล้วพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยวที่สวนสาธารณะริมชี ข้างวัดศรีธรรมแล้วร่วมประเวณีกันโดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม แม้จำเลยเบิกความรับเพียงว่าเคยพาผู้เสียหายที่ 1 กับนางสาวมะลิไปเที่ยวสวนสาธารณะพญาแถนเท่านั้น แต่ก็เจือสมให้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 มีน้ำหนักให้รับฟังมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องนี้จำเลยเพิ่งรับในชั้นพิจารณาของศาล ในชั้นสอบสวนจำเลยเพียงแค่ให้การปฏิเสธลอย ๆ ขอให้การรายละเอียดในชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งผิดปกติวิสัยของผู้บริสุทธิ์ การที่ผู้เสียหายที่ 1 ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ชายกว่า 10 คน รวมทั้งจำเลยในลักษณะคล้ายค้าประเวณี ยิ่งไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำใส่ร้ายเฉพาะจำเลยด้วยเรื่องที่ไม่เป็นความจริง จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเราดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยัน อย่างไรก็ตามจำเลยเบิกความว่าจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุประมาณ 18 ปี ถึง 19 ปี เพราะรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งในข้อนี้ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าอายุ หากดูภายนอกเพียงผิวเผินอาจเข้าใจได้ว่ามีอายุเกิน 18 ปีแล้ว เจ้าของร้านอาหารริมชีรับผู้เสียหายที่ 1 เข้าทำงานเนื่องจากเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 มีอายุเกิน 18 ปี ส่วนผู้เสียหายที่ 3 ก็เบิกความทำนองเดียวกันว่า หากเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผู้เสียหายที่ 1 จะรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อน บุคคลทั่วไปมองผู้เสียหายที่ 1 แล้วอาจเข้าใจได้ว่ามีอายุ 17 ถึง 18 ปี จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารริมชีมาก่อนโดยทำงานตั้งแต่เวลา 9 ถึง 19 นาฬิกา อีกทั้งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 บอกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ว่านอกจากจำเลยแล้วยังมีชายอื่นกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อีก 11 คน จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่ารูปร่างและลักษณะของผู้เสียหายที่ 1 ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 มีอายุเกินกว่า 18 ปี จำเลยอาจสำคัญผิดว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุเกิน 18 ปี ดังที่อ้างก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดทั้งสองฐานตามฟ้องและทำให้เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน