แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญามีข้อความว่า ” ที่ดินมรดกเรื่องนายคำ ร้องคัดค้านนายอ่องซึ่งเป็นส่วนของนางเทียบนายแว้นั้นข้าพเจ้าเป็นน้องนางเทียบ นายแว้เป็นผู้รับมรดกที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินรายนี้มีเท่าใดให้นายอ่องทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้รับเงินนายอ่องไป 410 บาท โดยขายให้นายอ่อง จึงได้ลงลายมือไว้เป็นสำคัญ ” ดังนี้ เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามธรรมดา
การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกับประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน
ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วน แต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเพราะมี+สิทธิชำระได้ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ.ม. 237
ย่อยาว
คดี ๓ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกับสำนวน ๑ โจทย์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดที่ ๕๘๗๑ มีชื่อนายอ่อง โจทก์กับนางสาวเทียบ นายแว้ร่วมกันนางสาวเทียบตาย มรดกนางสาวเทียบนายแว้ตกได้แก่นางสอิ้ง ต่อมานายคำประกาศรับมรดกนางสาวเทียบอ้างว่าเป็นสามีนางสาวสอิ้ง จำเลยคัดค้านเกิดพิพาทเป็นคดีแพ่งดำที่ ๑๔๖/๒๔๙๑ ก่อนเกิดคดีนี้ นางสาวสอิ้งได้ตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนในโฉนดให้แก่โจทก์ โดยข้อตกลงว่าจำเลยจะฟ้องนายคำขอห้ามมิให้มาเกี่ยวข้องในที่ดิน แต่จำเลยไม่มีเงินฟ้องจึงตกลงขายกรรมสิทธิที่ดินเฉพาะส่วนที่ตนจะได้รับแก่โจทก์ โดยจำเลยขอรับเงิน ๔๑๐ บาท และให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค่าทนายความให้นางสาวสอิ้งนางสาวสอิ้งชนะคดีนั้นในชั้นอุทธรณ์ โดยที่ดิน ๒ ใน ๓ ส่วน นางสาวสอิ้งจะต้องโอนขายให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อคดีนั้อยู่ระหว่างฎีกานางสาวสอิ้งและนายคำได้สมยอมกันโดยนางสาวสอิ้งยอมยกที่ดินส่วนจะได้ในคดีนั้นให้แก่นายคำ นายคำได้ถอนฎีกาและจะจัดการโอนกันภายหลัง โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนขายให้ที่ดินซึ่งจำเลยมีส่วนได้ในโฉนดที่ ๕๘๗๑ ให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนขายให้ใช้เงิน ๑๙๑๐ บาท
นายคำจำเลยมให้การว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่ ด.ญ.สุดใจบุตรจำเลย ด.ญ.สุดใจตายจึงตกได้แก่จำเลย นางสาวสอิ้งกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันโดยสุจริต นางสาวสอิ้งขาดนัดอื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
สำนวนที่ ๒ นางสาวละอ่องเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑-๒ ทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์ ๒ แปลงจำเลยได้รับเงินไปแล้ว จำเลยที่ ๑-๒ สัญญาว่าจะจัดการรับมรดกและเรียกร้องผู้ขัดขวางเสียก่อน เมื่อจัดการแล้วจะขายให้โจทก์ทันทีหากจำเลยบิดพลิ้วจะคืนเงินและค่าเสียหายให้ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยอมความกับจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๒ รับมรดกนางสาวเทียบนายแว้ และโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่จำเลยที่ ๓ จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินพิพาทนี้เสีย แล้วให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา หากจัดการไม่ได้ ให้คืนเงินพร้อมทั้งค่าปรับ
นายดำจำเลยให้การทำนองเดียวกับสำนวนที่ ๑ จำเลยที่ ๑-๒ ขาดนัดอื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
สำนวนที่ ๓ นายอ่องเป็นโจทย์ฟ้องว่าภายหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ตามสำนวนที่ ๑ แล้วจำเลยทั้งสามได้สมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายเดียวกันขึ้นย้อนหลังไปถึง ๒๗ ก.พ.๙๑ โดยมีเจตนาทุจริตทำให้โจทก์เสียหายเพราะจำเลยทั้ง ๓ ทราบดีแล้วว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์อยู่ก่อนแล้ว จึงขอให้เพิกถอนหรือทำลายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดิน
นางสาวละอองจำเลยให้การว่าได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายโดยสุจริต
นางสอิ้งนายบางจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นได้สั่งงดการพิจารณาคดีที่ ๓ ไว้จนสืบพยานสำนวนที่ ๑-๒ เสร็จแล้วจึงได้รวมพิพากษาว่า ให้ทำลายนิติกรรมการโอนรับมรดกของนายคำจำเลย ให้ที่ดินส่วนของนายแว้นางสาวเทียบตกได้แก่นางสาวลออง ให้ยกฟ้องคดีนายอ่องโจทก์เสียทั้ง ๒ สำนวน
นายอ่องโจทก์คดีที่ ๑-๓ นายคำจำเลยสำนวนที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นางสอิ้งนายบางจำเลยสำนวนที่ ๒ คืนเงินให้นางสาวละออง ๑๕๐๐ บาท สำนวนที่ ๑-๓ ให้ยกฟ้อง
นายอ่องโจทก์สำนวนที่ ๑-๓ นางสาวละอองโจทก์ในสำนวนที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคือ ๓ สำนวนตามลำดับ
สำนวนที่ ๑ สัญญาจะซื้อขายาที่ดินระหว่างนางสาวสอิ้งกับนายอ่อง มีข้อความว่า ” ที่ดินมรดกเรื่องนายคำร้องคัดค้านนายอ่อง ซึ่งเป็นส่วนของนายเทียบนายแว้ เป็นผู้รับมรดกที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินรายนี้มีเท่าใดให้นายอ่องทั้งสิ้นเพราะข้าพเจ้าได้รับเงินนายอ่องไป ๔๑๐ บาท โดยขายให้นายอ่อง จึงได้ลงลายมือให้ไว้เป็นสำคัญ ” ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่นางสอิ้งได้รับมรดกจากนางเทียบนายแว้อย่างสัญญาธรรมดาไม่มีลักษณะเป็นการพนันชันต่อ
การที่นายอ่องออกเงินค่าธรรมเนียมค่าจ้างว่าความให้นางสอิ้งฟ้องนายคำ ซึ่งขัดขวางสิทธิของนางสอิ้งเกี่ยวกับที่ดินแปลงที่ตกลงขายให้นายอ่องนั้น ไม่เป็นการขัดขวางความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะนายอ่องมีส่วนได้เสียในที่ดินนั้นคืนนายอ่องมีชื่อถือกรรมสิทธิ ส่วนหนึ่ง เมื่อนางสอิ้งขายที่ดินส่วนของนางสอิ้งให้นายอ่อง นายคำได้โต้แย้งสิทธิของนางสอิ้งเกี่ยวกับที่ดินนั้นอยู่ นายอ่องจึงได้ออกเงินให้นางสอิ้งฟ้องนายคำเพื่อระงีบการที่นายคำโต้แย้งสิทธิของนางสอิ้ง การกระทำของนายอ่องจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันประโยชน์ส่วนได้เสียของตนเองโดยปรกติหาใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเช่าเป็นความกันไม่ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
สำนวนที่ ๒ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าขณะนายคำเลิกคดีกับนายสอิ้งตามสัญญาประนีประนอม นายคำได้รู้อยู่แล้วว่า นางสอิ้งนายบางได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่นางสาวละอองไว้ก่อนแล้ว นางสอิ้งและนายบางได้รับเงิน ๑๕๐๐ บาท ไว้แล้ว นายคำได้รับโอนทีดินโดยรู้อยู่แล้วว่านางสอิ้งลูกนี้ได้ตกลงขายให้แก่นางสาวละอองเจ้าหนี้ก่อน นั้นมาเป็นของคนอื่น อันเป็นเหตุให้นางสาวละอองเจ้าหนี้เสียเปรียบ นายดำจึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจาการที่นางสอิ้งลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้ว่าจะทำให้นางสาวละอองเจ้าหนี้เสียเปรียบ นิติกรรมการรับโอนส่วนได้ของนางสอิ้งในที่ดินรายพิพาทโดยนายคำจึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ.ม. ๒๓๗ พิพากษาแก้ให้เพิกถอนการโอนรับมรดกของนายคำในที่ดินโฉนดที่ ๕๘๗๑ เสียให้ใส่ชื่อนางสอิ้งเป็นผู้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นเฉพาะส่วนของนางเทียบนายแว้อยู่แต่เดิม
สำนวนที่ ๓ ศาลฎีกาเห็นว่าต้องพิจารณาต่อไปว่าสัญญาจะซื้อขายระหว่างและนางสาวละออง ใครจะมีสิทธิดีกว่าากัน พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนที่ ๓ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปความ