แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เอกสารการรับชำระเงิน เป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากต้นฉบับที่เก็บไว้ที่สาขาของโจทก์ อันแสดงให้เห็นว่าต้นฉบับเอกสารยังมีอยู่ที่สาขาของโจทก์ เมื่อจำเลยแถลงว่าเอกสารดังกล่าวที่โจทก์อ้างส่งเป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากสำเนาอีกครั้งหนึ่ง ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ดังนี้ โจทก์จะต้องนำต้นฉบับเอกสารมาอ้าง การที่โจทก์อ้างส่งสำเนาเอกสาร โดยที่ยังสามารถนำต้นฉบับเอกสารมาอ้างได้ เช่นนี้ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามที่ปรากฏในเอกสารการรับชำระเงินดังกล่าว กรณียังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) ที่จะรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงิน 161,560.36 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 26.25 ต่อปี ในต้นเงิน 104,930.70 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 113,334.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ แต่ให้หักเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2540 จำนวน 5,400 บาท วันที่ 6 มกราคม 2541 จำนวน 5,600 บาท วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 จำนวน 6,000 บาท วันที่ 15 พฤษภาคม 2541 จำนวน 6,000 บาท วันที่ 7 กรกฎาคม 2541 จำนวน 5,800 บาท วันที่ 4 สิงหาคม 2541 จำนวน 5,000 บาท วันที่ 13 สิงหาคม 2541 จำนวน 1,500 บาท วันที่ 5 ตุลาคม 2541 จำนวน 6,300 บาท และวันที่ 29 มกราคม 2542 จำนวน 2,000 บาท การหักให้หักดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยรับผิดเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างว่าหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์ถึง 6 ครั้ง ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 เป็นเงินรวม 26,600 บาท ตามเอกสารการรับชำระเงิน แต่เอกสารดังกล่าวเป็นสำเนาเอกสาร ซึ่งพยานโจทก์ปากนางลัดดาวัลย์เบิกความว่าเป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากต้นฉบับ พยานเป็นผู้ติดต่อให้สาขาของโจทก์ส่งเอกสารดังกล่าวมาให้ อันแสดงให้เห็นว่าต้นฉบับเอกสารการรับชำระเงินยังมีอยู่มีสาขาของโจทก์ เมื่อทนายจำเลยแถลงว่าเอกสารที่โจทก์อ้างส่งเป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากสำเนาอีกครั้งหนึ่ง ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 ดังนี้ โจทก์จะต้องนำต้นฉบับเอกสารมาอ้าง การที่โจทก์อ้างส่งสำเนาเอกสาร โดยที่ยังสามารถนำต้นฉบับเอกสารมาอ้างได้ เช่นนี้จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 (2) กรณีจึงไม่มีเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 ดังโจทก์ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2540 โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้วันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2540 แต่หลังจากนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชี ปรากฏว่าวันที่ 15 ธันวาคม 2540 วันที่ 6 มกราคม 2541 และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 5,400 บาท 5,600 บาท และ 6,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งจำเลยนำสืบเพียงว่า หลังจากวันที่ 19 มีนาคม 2541 ที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยไม่เคยนำเงินไปชำระให้แก่โจทก์ดังนี้ จึงถือว่าจำเลยยอมรับว่าชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 อันเป็นวันสิ้นสุดที่มีเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลง โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 25 เมษายน 2543 จึงพ้นกำหนดเวลา 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) แล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ