คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11603/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ในสัญญาจำนองมีข้อความต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ในภายหน้า แต่ก็ได้ความว่าการกู้ยืมจดทะเบียนจำนองในคดีนี้เป็นการกู้ยืมในเรื่องเงินทุน ส่วนการผู้ยืมในเรื่องหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนดไว้ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน โจทก์จำเลยทำสัญญาจำนองคู่สัญญาตั้งใจให้ผูกพันเป็นประกันเฉพาะการกู้ยืมในเรื่องเงินทุนจำนวน 7,000,000 บาท เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาให้ผูกพันเลยไปถึงเป็นประกันการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วย นอกจากนี้ยังไม่มีข้อความเขียนให้ชัดว่าเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมซื้อหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นทั้งที่มีโอกาสเขียนให้ชัดได้ ข้อต่อสู้จำเลยว่าการจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วยนั้น เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์อันแท้จริงของคู่สัญญาแต่แรกให้ผิดไปจากความประสงค์เดิม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้เงินทุนเพียงอย่างเดียวและหนี้เงินทุนระงับแล้ว จำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับไปด้วย จำเลยจะอ้างไม่ส่งโฉนดเพราะมีหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์ค้างชำระอยู่ด้วยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดตราจองใหม่ให้โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองโฉนดตราจองให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีแทนจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 และมาตรา 25
ศาลชั้นต้นพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว เลขที่ 5095 เลขที่ดิน 22 หน้าสำรวจ 1170 ตำบลหนองแกอำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองโฉนดตราจองดังกล่าวให้โจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่จัดการจดทะเบียนไถ่ถอนการจำนองให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจำนองทำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 มีข้อความต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ในภายหน้า ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อความดังกล่าวมีความหมายว่าคู่สัญญาตกลงให้การจำนองเป็นประกันหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นของนายจตุพรซึ่งทำในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 ต่อมามีการเปลี่ยนสัญญาในวันที่ 1 ตุลาคม 2536 ด้วยนั้นก็ได้ความว่าการกู้ยืมจดทะเบียนจำนองในคดีนี้เป็นการกู้ยืมในเรื่องเงินทุน ส่วนการกู้ยืมในเรื่องหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนดไว้ ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน กล่าวคือ ไม่มีหลักเกณฑ์และวิธีการให้นำที่ดินจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการซื้อขายแบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นได้ แต่ให้นำหลักทรัพย์จดทะเบียน พันธบัตร สลากออมสิน มาวางเป็นประกัน และผู้ให้กู้ยืมจะได้เงินกู้ยืมคืนเมื่อขายหลักทรัพย์ได้แล้วเท่านั้น ในระหว่างยังมิได้ขายหลักทรัพย์ ผู้ให้กู้ยืมจะเรียกให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้เงินกู้ยืมไม่ได้ มิฉะนั้นการซื้อขายหลักทรัพย์จะปั่นป่วน คงมีสิทธิเรียกให้ผู้กู้ยืมชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเท่านั้น การกู้ยืมชนิดนี้เป็นการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ประเภทไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการขาย ลักทรัพย์ และไม่ใช่การกู้ยืมชนิดกำหนดเวลาชำระหนี้เงินคืนภายใน 30 วัน ดังนั้น ที่โจทก์จำเลยทำสัญญาจำนอง คู่สัญญาตั้งใจให้ผูกพันเป็นประกันเฉพาะการกู้ยืมในเรื่องเงินทุนจำนวน 7,000,000 บาท เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาให้ผูกพันเลยไปถึงเป็นประกันการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วย เพราะคู่สัญญาทราบดีว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ให้ทำได้ นอกจากนี้ยังไม่มีข้อความเขียนให้ชัดว่าเป็นการประกันหนี้เงินกู้ยืมซื้อหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้น ทั้งที่มีโอกาสเขียนให้ชัดได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อต่อสู้จำเลยว่าการจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วยนั้น เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์อันแท้จริงของคู่สัญญาแต่แรกให้ผิดไปจากความประสงค์เดิม โดยอาศัยข้อความต่อท้ายสัญญาจำนองที่มีมาดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้เงินทุนเพียงอย่างเดียว และหนี้เงินทุนระงับแล้ว จำนองซึ่งเป็นหนี้ปกรณ์ย่อมระงับตามไปด้วย จำเลยจะอ้างไม่ส่งโฉนดเพราะมีหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์ค้างชำระอยู่ด้วยหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share