แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม้ของกลางที่ตรวจยึดในคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้รับซื้อทั้งสิ้น แต่มติดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิจะซื้อไม้ของกลางในคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ รวมทั้งราคาขายที่กำหนดในอัตราสามเท่า ของค่าภาคหลวงของไม้ของกลางตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดอัตราค่าภาคหลวงไม้หวงห้ามและบัญชีอัตราค่าภาคหลวง ซึ่งทำให้ราคาไม้ของกลางที่โจทก์จะขายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีราคาต่ำกว่าราคาตามท้องตลาด ราคาดังกล่าวจึงมิใช่ราคาที่แท้จริงของทรัพย์สินนั้น ที่จะกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคสอง แต่ต้องถือเอาตามราคาปกติในท้องตลาดของราคาไม้ของกลางในขณะเกิดเหตุละเมิดที่แท้จริง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าคำเสียหายดังกล่าวที่แท้จริงมีเพียงใด ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้เองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 120,040.30 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 1,392,690.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 66,288 บาท และ 838,728 บาท ตามลำดับ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 7,221.60 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 96,237 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 28 พฤษภาคม 2540) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งสองต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า ราคาค่าเสียหายที่แท้จริงของไม้ของกลางที่เสียหายต้องคิดตามราคาท้องตลาด ส่วนราคาที่โจทก์จำหน่ายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นระเบียบปฏิบัติที่ใช้บังคับระหว่างส่วนราชการภายในด้วยกันมิใช่หลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณค่าเสียหายที่แท้จริง เห็นว่า ถึงแม้ไม้ของกลางที่ตรวจยึดในคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้รับซื้อทั้งสิ้น แต่มติดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิจะซื้อไม้ของกลางในคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ รวมทั้งราคาขายที่กำหนดในอัตราสามเท่าของค่าภาคหลวงของไม้ของกลาง ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดอัตราค่าภาคหลวงไม้หวงห้ามและบัญชีอัตราค่าภาคหลวง ซึ่งทำให้ราคาไม้ของกลางที่โจทก์จะขายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีราคาต่ำกว่าราคาตามท้องตลาด ราคาดังกล่าวจึงมิใช่ราคาที่แท้จริงของทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง แต่ราคาไม้ของกลางต้องถือเอาตามราคาปกติในท้องตลาด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามอัตราที่โจทก์จะจำหน่ายไม้ของกลางให้แก่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพียงใด เห็นว่า โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายเป็นราคาตลาดไม้ของกลาง เป็นเงิน 66,288 บาท จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นเงิน 838,728 บาท ซึ่งเป็นราคาตามที่ป่าไม้เขตนครราชสีมารายงานให้โจทก์ทราบ โดยโจทก์มีนายศรีชาติ ป่าไม้เขตนครราชสีมา เบิกความว่า ราคาไม้ของกลางคิดตามราคาท้องตลาดที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และทางโรงเลื่อยตีราคามาเท่านั้น โจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคาซื้อขายตามปกติในท้องตลาด และไม่ได้นำเจ้าหน้าที่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือทางโรงเลื่อยดังกล่าวมาเบิกความยืนยันว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาตามท้องตลาดของไม้ของกลางที่แท้จริงในขณะเกิดเหตุละเมิดตามที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2529 และให้จำเลยที่ 2 รับผิดตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2531 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคาไม้ของกลางตามท้องตลาดในขณะเกิดเหตุละเมิดที่แท้จริง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าค่าเสียหายที่แท้จริงมีเพียงใด ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้เองได้ โดยเห็นสมควรกำหนดราคาไม้ของกลางให้ในราคาสองในสามส่วนของราคาไม้ของกลางที่โจทก์นำสืบมาเป็นเงิน 44,192 บาท และ 559,152 บาท ตามลำดับ…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 20,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2529 และวันที่ 11 สิงหาคม 2531 ตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3