คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงจะซื้อขายที่ดินกันในราคา 22,000,000 บาทจำเลยวางเงินมัดจำให้โจทก์ 1,000,000 บาท โดยจ่ายเป็นเช็ค ทั้งยังตกลงกันว่าโจทก์จะเป็นผู้เสนอขายที่ดินตามสัญญาให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในนามของโจทก์แทนจำเลย และหากจำเลยปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา โจทก์จะจ่ายค่านายหน้าให้แก่จำเลย 1,100,000บาททันที ตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแสดงให้เห็นว่า เจตนาของคู่กรณีไม่ใช่เรื่องซื้อขายที่ดินกันจริง ๆ แต่เป็นเรื่องที่คู่กรณีตกลงที่จะนำที่ดินของโจทก์ไปขายให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยจำเลยมีภาระผูกพันที่จะต้องดำเนินการวิ่งเต้นขายที่ดินดังกล่าว การที่สัญญาระบุไว้ว่า ถ้า ผู้จะซื้อไม่ชำระราคาที่ดินให้ครบถ้วนภายในกำหนดให้ถือว่าผิดสัญญาและผู้จะขายริบเงินมัดจำได้นั้น ต้องถือว่าเป็นข้อความอำพรางหาใช่เจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาไม่ การที่จำเลยจ่ายเงินมัดจำเป็นเช็คลงวันที่วันเดียวกับวันครบกำหนดในสัญญาก็เพื่อให้สมกับเรื่องที่อำพรางว่ามีการวางเงินมัดจำตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อผูกมัดจำเลยไม่ให้ดำเนินการขายที่ดินของบุคคลอื่นให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนั้น การที่จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ไว้ ต้องถือว่าเช็คฉบับนั้นหามีมูลหนี้ต่อกันไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมโจทก์ได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.5 มอบหมายให้จำเลยเป็นผู้เจรจาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 265 และ 266 ตำบลอุโลกสี่หมื่นอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในราคา 22,000,000 บาท หากขายได้เกินกำหนดนี้โจทก์ยอมให้ส่วนที่เกินนี้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ตกลงจะให้เงินแก่จำเลยจำนวน 1,600,000 บาท เมื่อขายที่ดินได้แล้ว โดยมีจำเลยเป็นคู่สัญญาในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ครั้นวันที่ 21 เมษายน2527 โจทก์จำเลยจึงได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำเอกสารหมาย จ.3 กัน ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 265 และ 266 กันในราคา 22,000,000 บาท และจำเลยได้วางเงินมัดจำให้โจทก์ 1,000,000 บาท โดยจ่ายเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขานครปฐม เลขที่ 3820251 ลงวันที่ 5 กันยายน2527 จำนวนเงิน 1,000,000 บาท และโจทก์จำเลยตกลงกันว่าโจทก์จะเป็นผู้เสนอขายที่ดินตามสัญญาให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในนามของโจทก์แทนจำเลย ภายในวันที่ 5 กันยายน 2527 และหากจำเลยปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาโจทก์จะจ่ายค่านายหน้าให้แก่จำเลย 1,600,000บาท ในทันที ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแสดงให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าไม่ใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินกันจริง ๆแต่เป็นเรื่องที่คู่กรณีตกลงที่จะนำที่ดินของโจทก์ไปขายให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยจำเลยมีภาระผูกพันที่จะต้องดำเนินการวิ่งเต้นขายที่ดินให้โจทก์ หากขายได้โจทก์จะจ่ายค่านายหน้าให้จำเลย1,600,000 บาท วิธีการรูปนี้ก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า หากจำเลยวิ่งเต้นขายที่ดินให้โจทก์ไม่ได้สมตามที่โจทก์จำเลบยคาดหมายกันไว้ก็ต้องเลิกล้มไม่มีการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยต่อไป เพราะตามรูปเรื่องแสดงชัดว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะมีเงินเป็นจำนวนถึง 22,000,000บาท มาซื้อที่ดินรายนี้ได้ ซึ่งโจทก์ก็ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจเหมือนกันการที่สัญญาเอกสารหมาย จ.3 กล่าวว่า ถ้าผู้จะซื้อไม่ชำระราคาที่ดินให้ครบถ้วนภายในวันที่ 5 กันยายน 2527 ให้ถือว่าผิดสัญญาและผู้จะขายริบเงินมัดจำได้นั้น ต้องถือว่าเป็นข้อความอำพรางหาใช่เจตนาอันแท้จริงที่คู่สัญญาตกลงกันไม่ ทั้งเงินมัดจำตามสัญญาจำเลยก็จ่ายเป็นเช็คลงวันที่ 5 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันครบกำหนดตามสัญญา จึงเห็นได้ว่าเพื่อให้สมกับเรื่องที่อำพรางว่ามีการวางเงินมัดจำตามที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการผูกมัดจำเลยไม่ให้ดำเนินการขายที่ดินของบุคคลอื่นให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ไว้ต้องถือว่าเช็คฉบับนี้หามีมูลหนี้ต่อกันไม่ การที่โจทก์กลับนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูลหนี้เช่นนี้ แม้ธนาคารตามเช็คจะปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยก็ยังไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ.

Share