แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงว่า เมื่อเจ้ามรดกคู่สัญญาถึงแก่กรรมลง จำเลยและทายาทของผู้ตายได้รับรู้สิทธิในสัญญาที่ผู้ตายได้ทำไว้กับโจทก์ และได้ปฏิบัติตามสิทธิทายาทผู้รับมรดกของผู้ตายด้วยดีตลอดมา ถือว่าโจทก์ได้ตั้งประเด็นไว้ในคำฟ้องแล้วว่าได้มีการรับสภาพหนี้หลังจากคู่สัญญาถึงแก่กรรม ฉะนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่ามีการรับสภาพหนี้ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
หลังจากคู่สัญญาถึงแก่กรรมและก่อนศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ให้คนไปติดต่อกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายให้ไปให้ความยินยอมเกี่ยวกับการขยายแนวเขตถนนตามแบบแปลนปลูกสร้างที่ทางเทศบาลยังทักท้วงอยู่ จำเลยขอผัดให้จำเลยได้เป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อนแล้วจะไปให้ความยินยอม และจำเลยเองก็รับว่าหลังจากจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ได้ให้บุตรจำเลยไปเตือนโจทก์ด้วยวาจาและหนังสือให้โจทก์ไปทำการปลูกสร้างอาคารตามสัญญา เป็นการแสดงออกโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับรู้สิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของคู่สัญญาจะถือปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา พฤติการณ์ของจำเลยจึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำการอันปราศจากเคลือบแคลงสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172
เมื่อมีการรับสภาพหนี้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันตายของเจ้ามรดกย่อมสะดุดหยุดลงและต้องเริ่มนับขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปตามอายุความแห่งมูลหนี้ซึ่งในคดีนี้มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 นับแต่วันที่จำเลยรับสภาพหนี้จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียงปีเศษ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
เมื่อไม่ปรากฏชัดในฎีกาว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายที่ให้จำเลยใช้ ไม่ชอบด้วยเหตุผลในรายการใด และไม่ชอบอย่างไรศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายล้วน ฟักมีทองซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2509 ก่อนนายล้วนถึงแก่กรรมนายล้วนและจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ตกลงให้โจทก์ก่อสร้างตึกแถวลงในที่ดินของนายล้วน โดยโจทก์ตกลงจะให้ค่าตอบแทนแก่นายล้วนและจำเลยเป็นเงิน 152,500 บาท และในวันทำสัญญา โจทก์ได้ชำระให้ก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งจะชำระให้เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ โจทก์ยอมยกตึกแถวที่จะก่อสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่นายล้วนและจำเลย โดยนายล้วนและจำเลยยอมให้โจทก์นำตึกแถวที่ก่อสร้างออกให้ผู้อื่นเช่า และให้สิทธิโจทก์เรียกเงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างและเงินกินเปล่าจากผู้มาขอเช่าตึกได้ โจทก์ต้องดำเนินการยื่นแบบแปลงตึกก่อสร้างเพื่อขออนุญาตต่อเทศบาลภายใน 90 วัน นับแต่วันทำสัญญา การทำสัญญาจำเลยได้ให้นายล้วนลงชื่อไว้แต่ผู้เดียว นายล้วนและจำเลยทราบว่าโจทก์จะได้กำไรจากการก่อสร้างและให้ผู้อื่นเช่าเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 800,000 บาท นายล้วนได้ยื่นแบบแปลนก่อสร้างแทนในนามของโจทก์ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่พิจารณาแบบแปลนก่อสร้าง นายล้วนได้ถึงแก่กรรมจำเลยได้รับรู้สิทธิในสัญญาที่นายล้วนทำไว้กับโจทก์และได้ปฏิบัติตาม ต่อมาจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนายล้วน จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดก ได้จงใจละเมิดสิทธิของโจทก์ โดยปฏิเสธและไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาที่นายล้วนและจำเลยทำไว้กับโจทก์ และจำเลยยังขอถอนคำขออนุญาตแบบแปลนก่อสร้างที่นายล้วนได้ยื่นขอไว้ต่อเทศบาลอีกด้วย โจทก์ได้ติดต่อจำเลย จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับรู้สิทธิของโจทก์ และอนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าปลูกสร้างตึกแถวแทนการกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย เป็นค่าแบบแปลนค่านายหน้าชี้ช่อง กำไรสุทธิ จากผู้เช่าตึก ค่าพาหนะในการติดต่อก่อสร้าง เงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้ชำระในวันทำสัญญา และดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้น แต่โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระเพียงหนึ่งล้านบาท จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายล้วนจริงนายล้วนได้ทำสัญญากับโจทก์ตามฟ้อง แต่เป็นสัญญาที่นายล้วนทำเป็นส่วนตัว จำเลยในฐานะส่วนตัวไม่ได้รู้เห็นยินยอมหรือเข้าทำสัญญาด้วยจึงไม่ต้องรับผิด โจทก์จะให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกรับผิดหรือรับรู้สิทธิของโจทก์ตามสัญญานั้นไม่ได้ เพราะตามสัญญาโจทก์ต้องไปขออนุญาตปลูกสร้างต่อเทศบาลภายใน 90 วันนับแต่วันทำสัญญาแต่โจทก์ไม่ไปขอ สัญญาจึงหมดความผูกพัน คำขออนุญาตปลูกสร้างอาคารนายล้วนเป็นผู้ยื่นเอง ไม่ปรากฏว่ายื่นขอแทนใคร และคำขอนั้นโจทก์ได้ละทิ้งและละเลยไม่ไปติดต่อกับเทศบาล จนเทศบาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคำขอนั้น จำเลยไม่ต้องรับผิด โจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมากมายเกินสมควร เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่นายล้วนตามสัญญา โจทก์จะเรียกคืนไม่ได้ จำเลยได้บอกให้โจทก์ทราบว่านายล้วนถึงแก่กรรมแล้ว ตั้งแต่โจทก์ทำสัญญามาช้านานเกินสมควร ไม่จัดการปลูกสร้างตึกแถวให้เสร็จไป จำเลยไม่ยอมรับรู้สัญญาที่นายล้วนทำไว้ โจทก์ทราบก็ไม่ได้ฟ้องร้องว่ากล่าวอย่างใด เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาชี้ขาดประเด็นข้ออื่นอีก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายได้ แต่จำเลยในฐานะส่วนตัวไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายล้วนชำระค่าเสียหาย 316,500 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกัน และพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบไม่โต้เถียงกัน และเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ามีการรับสภาพหนี้ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อ 3 ซึ่งโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงว่า เมื่อนายล้วนถึงแก่กรรมลง จำเลยและทายาทของนายล้วนได้รับรู้สิทธิในสัญญาที่นายล้วนทำไว้กับโจทก์ และได้ปฏิบัติตามสิทธิทายาทผู้รับมรดกของนายล้วนด้วยดีตลอดมา พอถือได้ว่าโจทก์ได้ตั้งประเด็นไว้ในคำฟ้องแล้วว่าได้มีการรับสภาพหนี้หลังจากนายล้วนถึงแก่กรรม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ามีการรับสภาพหนี้จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากนายล้วนถึงแก่กรรมและก่อนศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ให้พยานโจทก์ไปติดต่อกับจำเลยให้ไปให้ความยินยอมต่อเทศบาลเกี่ยวกับการขยายแนวเขตถนน จำเลยขอผัดให้จำเลยได้เป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อน จำเลยเองก็รับว่าหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยได้ให้บุตรจำเลยไปเตือนโจทก์ด้วยวาจาและหนังสือให้โจทก์ไปทำการปลูกสร้างอาคารตามสัญญา เป็นการแสดงออกโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับรู้สิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายล้วนจะถือปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา พฤติการณ์ของจำเลยดังนี้ถือได้ว่า จำเลยได้กระทำการอันปราศจากเคลือบแคลงสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันตายของเจ้ามรดกย่อมสะดุดหยุดลง อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงต้องเริ่มนับขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไป ตามอายุความแห่งมูลหนี้ในคดีนั้น คืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 นับจากวันที่จำเลยรับสภาพหนี้จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาปีเศษคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญานั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาที่นายล้วนทำไว้กับโจทก์ จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีทางจะปลูกสร้างตึกแถวได้เลย เพราะจะไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาลนั้น เห็นว่า เหตุขัดข้องที่โจทก์ปลูกสร้างไม่ได้มิใช่เป็นเพราะโจทก์ไม่มีทางจะได้รับอนุญาตจากเทศบาลให้ปลูกสร้างได้ แต่เป็นเพราะจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาที่นายล้วนทำไว้กับโจทก์ ข้อโต้เถียงของจำเลยข้อนี้ย่อมตกไปในตัว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ยังไม่ชอบด้วยเหตุผล ก็ไม่ปรากฏชัดแจ้งในฎีกา ว่าไม่ชอบด้วยเหตุผลในรายการใด และไม่ชอบอย่างไร จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกนายล้วน ฟักมีทองใช้ค่าทนายความแทนโจทก์