แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการตรวจค้นจับกุมยังมิได้มีการส่งมอบกัญชาที่จะทำการซื้อขายต่อกัน ทั้งกัญชาของกลางจำนวน 84 แท่ง อยู่ในกระสอบป่าน 3 ใบ ยังไม่ไม่ได้แบ่งแยกกัญชาที่ล่อซื้อออกจากกัญชาทั้งหมด ประกอบกับผู้ล่อซื้อยังไม่ได้เห็นกัญชาของกลาง ตามพฤติการณ์ยังต้องมีขั้นตอนอีกหลายกระบวนการกว่าจำเลยจะส่งมอบกัญชาที่จะทำการซื้อขายกัน จึงยังไกลเกินกว่าที่จะรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชาได้ กรณีจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 จำเลย นายสุชาติกับพวกอีกหลายคนร่วมกันมีกัญชา84 แท่ง น้ำหนัก 79.485 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายกัญชา 70 แท่ง น้ำหนักไม่ปรากฏชัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบัญชาที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจที่วางแผนล่อซื้อในราคาแท่งละ 7,800 บาท คิดเป็นเงิน 546,000 บาท ทั้งนี้จำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำความผิดโดยได้มีการตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะส่งมอบกัญชากับรับเงินกัน แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากจำเลยกับพวกรู้ตัวเสียก่อนว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจวางแผนล่อซื้อเพื่อจับกุม จำเลยกับพวกจึงไม่ยอมส่งมอบกัญชา 70 แท่ง ที่ตกลงซื้อขายกันให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้วางแผนล่อซื้อ และจำเลยมีกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 11 นัด ซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายและมีสภาพใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เจ้าพนักงานจับจำเลยกับนายสุชาติพร้อมกัญชาที่จำเลยกับพวกมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่าย กับเครื่องกระสุนปืน และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26, 75, 76, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 7 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก วรรคหนึ่ง วรรคสอง) 75 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก (เดิม)) 76 วรรคสอง (ที่ถูก (เดิม)) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 15 ปี ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชา ลงโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 จำคุก 15 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายกัญชา จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกกระทงละ 11 ปี 3 เดือน ส่วนฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวน ทั้งนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 22 ปี 10 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านนายสุชาติกับยึดได้กับชาของกลาง 84 แท่ง และของกลางอื่นตามบัญชีของกลางคดีอาญาแล้วจับกุมจำเลยขณะวิ่งหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจ ตรวจค้นตัวจำเลยพบกระสุนปืนของกลาง คดีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คู่ความไม่อุทธรณ์ ฎีกา จึงฟังเป็นยุติ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดในข้อหาพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาอ้างว่า ในการติดต่อซื้อกัญชาของกลาง การนัดหมายสถานที่ส่งมอบและการเลื่อนนัดส่งมอบกัญชาของกลางเป็นการตัดสินใจของนางศศินีหรือโอนแต่เพียงผู้เดียวจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นตัวการร่วมด้วยแต่ประการใดนั้น ประเด็นข้อนี้โจทก์มีจ่าสิบตำรวจวิวัฒและจ่าสิบตำรวจสมมาตรผู้ร่วมล่อซื้อเป็นประจักษ์พยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งสองร่วมกับจ่าสิบตำรวจคงกระพันปลอมตัวไปเจรจาซื้อกัญชาจากนายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้ว ต่อมานางสคราญหรือติ้วโทรศัพท์แจ้งว่าจำเลยกับนางศศินีหรือโอนมีกัญชาจะขายให้จำนวน 70 แห่ง วันที่ 21 กันยายน 2544 นายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้วนัดให้ไปพบจำเลยกับนางศศินีหรือโอนที่บ้านของนายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้ว วันเกิดเหตุพยานกับพวกจึงร่วมกันวางแผนล่อซื้อโดยร้อยตำรวจเอกอำนวยมอบเงินที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 546,000 บาท ให้แก่จ่าสิบตำรวจวิวัฒจากนั้นจ่าสิบตำรวจวิวัฒ จ่าสิบตำรวจสมมาตร และจ่าสิบตำรวจคงกระพัน ไปที่บ้านของนายเพียงกับนางสคราญหรือติ้ว พบจำเลยกับนางศศินีหรือโอน นางศศินีหรือโอนแจ้งว่ามีกัญชาจำนวน 70 แท่ง พร้อมจะส่งมอบโดยจะขายราคาแท่งละ 7,800 บาท และสอบถามเงินค่ากัญชา จ่าสิบตำรวจวิวัฒพาจำเลยกับนางศศินีหรือโอนไปที่รถจำเงินที่ใช้ล่อซื้อให้จำเลยกับนางศศินีหรือโอนตรวจดู นางศศินีหรือโอนให้จ่าสิบตำรวจวิวัฒรออยู่ที่บ้านของนายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้ว โดยนางศศินีหรือโอนกับจำเลยจะจัดเตรียมกัญชาและจะโทรศัพท์มาแจ้ง เวลา 15 นาฬิกา นางศศินีหรือโอนโทรศัพท์แจ้งจ่าสิบตำรวจวิวัฒว่าจัดเตรียมกัญชาไว้ที่บ้านเกิดเหตุพร้อมแล้วให้ไปที่บ้านเกิดเหตุเพื่อส่งมอบกัญชาและเงินค่าซื้อขาย จ่าสิบตำรวจวิวัฒกับพวกนายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้วจึงไปที่บ้านเกิดเหตุ ระหว่างทางจำเลยกับนางศศินีหรือโอนโทรศัพท์แจ้งนางสคราญหรือติ้วเป็นระยะ ๆ ทั้งนางศศินีหรือโอนโทรศัพท์แจ้งจ่าสิบตำรวจวิวัฒว่าเตรียมกัญชาไว้ที่บ้านเกิดเหตุพร้อมแล้ว แต่ยังส่งมอบให้ไม่ได้ขอเลื่อนการส่งมอบเนื่องจากมีคนแปลกหน้าอยู่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุ จ่าสิบตำรวจวิวัฒจึงให้นายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้วกลับไป และโทรศัพท์แจ้งร้อยตำรวจเอกอำนวยกับพวก ส่วนร้อยตำรวจเอกอำนวยเบิกความว่า หลังจากจ่าสิบตำรวจวิวัฒโทรศัพท์แจ้งแล้วได้ประสานไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพัทลุงขอหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านเกิดเหตุโดยพยานกับพวกปิดล้อมบ้านเกิดเหตุไว้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นมาให้ พยานแสดงหมายค้นต่อนายสุชาติขอตรวจค้นบ้านเกิดเหตุ ปรากฏว่าบริเวณคอกหมูห่างจากบ้านเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ภายในรั้วกำแพงบ้านพบกัญชาของกลางจำนวน 84 แท่ง สิบตำรวจโทเมซินผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่า ระหว่างปิดล้อมบ้านเกิดเหตุได้รับแจ้งการร้อยตำรวจตรีประเสริฐว่ามีคนร้ายวิ่งหลบหนีออกจากบ้านเกิดเหตุ พยานกับพวกค้นหาและพบจำเลยกำลังวิ่งห่างจากบ้านเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร จึงจับกุม เห็นว่า มูลเหตุคดีนี้เกิดจากเจ้าพนักงานตำรวจชุดดังกล่าวปลอมตัวไปซื้อกัญชาจากนายเพรียงกับนางสคราญหรือติ้ว ต่อมานางสคราญหรือติ้วแจ้งว่าจำเลยกับนางศศินีหรือโอนมีกัญชาจะขายให้จำนวน 70 แท่ง จึงวางแผนการล่อซื้อ พยานดังกล่าวเบิกความถึงรายละเอียดต่าง ๆ เป็นลำดับขั้นตอนสอดคล้องและเชื่อมโยงกันสมเหตุสมผล ไม่ปรากฏข้อพิรุธ พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ ไม่ปราฏว่ารู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เหตุระแวงว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยย่อมไม่มีคำเบิกความของพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อสอดคล้องกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกอำนวย ผู้ดำเนินการขอออกหมายค้นไปตรวจค้นบ้านดังกล่าวและพบกัญชาของกลางและสิบตำรวจโทเมซินผู้ร่วมจับกุม จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเชื่อได้ว่า จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่วันที่จำเลยร่วมกับนางศศินีหรือโอนตกลงจำหน่ายกัญชาให้จ่าสิบตำรวจวิวัฒกับพวกและยังร่วมกันไปตรวจสอบเงินที่เตรียมมาแล้วจนเป็นที่พอใจ แต่นางศศินีหรือโอนเปลี่ยนใจเนื่องจากเห็นความผิดปกติบริเวณหน้าบ้านของตนซึ่งเป็นสถานที่นัดส่งมอบกัญชาของกลาง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านดังกล่าว จำเลยวิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้าน แต่เจ้าพนักงานตำรวจจัดกำลังปิดล้อมไว้แล้วจึงสามารถติดตามจับกุมมาได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชานั้น เห็นว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการตรวจค้นจับกุมนั้นยังมิได้มีการส่งมอบกัญชาที่จะทำการซื้อขายต่อกัน ทั้งกัญชาของกลางจำนวน 84 แท่ง อยู่ในกระสอบป่าน 3 ใบ ยังไม่ได้แบ่งแยกกัญชาที่ล่อซื้อออกจากกัญชาทั้งหมด ประกอบกับผู้ล่อซื้อยังไม่ได้เห็นกัญชาของกลาง ตามพฤติการณ์ยังต้องมีขั้นตอนอีกหลายกระบวนการกว่าจำเลยจะส่งมอบกัญชาที่จะทำการซื้อขายกันจังยังไกลเกินกว่าที่จะรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชาได้ กรณีจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชามาด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9