แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากสิ่งของของผู้โดยสารสูญหายไปอันเป็นส่วนหนึ่งของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ซึ่งศาลจะให้เพียงใดหรือไม่นั้นสุดแต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากทางพิจารณา หาใช่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ ข้อที่ว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนคนอื่นไม่ได้ จึงไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน34,806 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 34,725 บาทปัญหาเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องแทนบุคคลอื่น มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น ไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายแทนนายประดิษฐ์ สุวรรณจินดา และสิบตำรวจโทมนูญ ศรีกฤษณ์ เจ้าของที่แท้จริง โดยอ้างว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดได้นั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากสิ่งของของผู้โดยสารสูญหายไปอันเป็นส่วนหนึ่งของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ซึ่งศาลจะให้เพียงใดหรือไม่นั้นก็สุดแต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากทางพิจารณา หาใช่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ จึงไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
พิพากษายืน