แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย ไม่ว่าการที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับนั้นจะต้องด้วยระเบียบว่าด้วยวินัยส่วนใดและมีโทษเป็นประการใดจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
จำเลยมีระเบียบการจ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างที่มีความดีความชอบปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียรเป็นประโยชน์แก่จำเลย ไม่เป็นผู้ที่ได้รับการลงโทษจากจำเลยไม่ว่าสถานใดสถานหนึ่ง เมื่อโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยสูญหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับโบนัสตามระเบียบ และการที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าวในระหว่างวันที่21-25 กุมภาพันธ์ 2529 แต่จำเลยเพิ่งออกคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 เพราะต้องใช้เวลาสอบสวนความจริง ก็ถือได้ว่าโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยระหว่างวันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2529 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับโทษจากจำเลยตามระเบียบการจ่ายโบนัสดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์กระทำผิด นับแต่นั้นมาจำเลยย่อมไม่ต้องจ่ายโบนัสให้โจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งสมุห์บัญชีสาขาราชบุรี ได้เกิดเหตุเงินจำเลยจำนวน 1,400,000 บาทเศษที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยในห้องมั่นคง ถูกคนร้ายซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครลักไป อีกประมาณ 1 ปี ต่อมาจำเลยไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์ไม่ได้ทำผิด เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินสะสม เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) รวมเป็นค่าเสียหาย 1,992,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เลิกจ้างโจทก์เพราะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามกฎข้อบังคับ คำสั่ง หรือระเบียบของจำเลย เนื่องจากละเลยปล่อยให้พนักงานอื่นเปิดปิดประตูห้องมั่นคงโดยโจทก์ไม่ควบคุมดูแลตามหน้าที่ ทำให้คนร้ายเอากุญแจที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ไปไขตู้นิรภัยห้องมั่นคงลักเงินสดไป อันเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินต่างๆ ตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 49 ซึ่งตามบทกฎหมายดังกล่าว การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหมายถึงการเลิกจ้างโดยไม่ปรากฏเหตุแห่งการเลิกจ้าง แต่คดีของโจทก์ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ตระหนักดีว่าลูกกุญแจทุกดอกที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์มีความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของทรัพย์สินแต่กลับปล่อยปละละเลยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบโดยให้ผู้อื่นซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่มีส่วนร่วมในการนำไปใช้และเก็บรักษากุญแจห้องมั่นคงและประตูลูกกรงเหล็ก โดยอ้างว่าเพื่อสะดวกในการปฏิบัติงาน เหตุทั้งนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ไปทำงานสายอยู่เป็นประจำก่อนจะเกิดเหตุ โจทก์ลืมกุญแจตู้นิรภัยในห้องมั่นคงจำนวน 2ดอก เป็นดอกที่โจทก์จะต้องรับผิดชอบ 1 ดอก ที่ผู้จัดการสาขาจะต้องรับผิดชอบอีก 1 ดอก ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ทำให้คนร้ายนำกุญแจนั้นไปใช้ได้ ความเสียหายของจำเลยจึงเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุ กล่าวคือ เลิกจ้างเพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ และประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างได้และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ว่าการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์จะต้องด้วยระเบียบว่าด้วยวินัยส่วนใดข้อใดของจำเลย และโทษตามระเบียบดังกล่าวควรจะเป็นประการใดก็หาทำให้การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเงินโบนัสหรือเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษตามระเบียบระบุว่า ผู้ได้รับการลงโทษจากจำเลยไม่ว่าสถานใดไม่มีสิทธิได้รับหมายความว่า ผู้นั้นได้รับการลงโทษจากจำเลยแล้ว ตามฟ้องของโจทก์และจากการนำสืบได้ความว่า จำเลยไม่ได้จ่ายโบนัสให้โจทก์ 2 ครั้ง ในระหว่างสอบสวน ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยยังไม่ได้ชี้ชัดว่าผู้ใดจะได้รับการลงโทษจากจำเลยบ้าง โจทก์ยังมิใช่ผู้ได้รับการลงโทษจากจำเลย จึงยังมีสิทธิได้รับเงินโบนัส 22,700 บาทเพราะจำเลยเพิ่งมีคำสั่งลงโทษโจทก์เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 นั้น เห็นว่าตามระเบียบของจำเลยเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษตามเอกสารหมาย จ.6 ส่วนที่ 3 กำหนดว่า โดยที่ธนาคารได้พิจารณาเห็นว่า พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารที่ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยความขยันหมั่นเพียร บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของธนาคารสมควรที่จะได้รับผลประโยชน์เป็นการตอบแทน จึงได้กำหนดระเบียบการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษขึ้นไว้ ดังนี้
ฯลฯ
2.3.2 ไม่เป็นผู้ที่ได้รับการลงโทษจากธนาคารไม่ว่า สถานใดสถานหนึ่ง แม้แต่ถูกตำหนิโทษหรือถูกภาคทัณฑ์ในระหว่างงวดการบัญชีดังกล่าวมาแล้วในข้อ 2.3.1
ฯลฯ
ตามระเบียบดังกล่าวของจำเลยเห็นได้ว่า จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงานที่มีความดีความชอบ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นประโยชน์ต่อธนาคารเท่านั้น สำหรับโจทก์นั้นปรากฏว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยสูญหายไปเป็นจำนวน 1,400,000 บาทเศษ โจทก์จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับโบนัสตามระเบียบดังกล่าว และการที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ระหว่างวันที่21 – 25 กุมภาพันธ์ 2529 แล้ว แม้จำเลยเพิ่งออกคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 เพราะต้องใช้เวลาสอบสวนหาความจริงก็ต้องถือว่าโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยตั้งแต่ระหว่างวันที่ 21 – 25 กุมภาพันธ์ 2529 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับโทษจากธนาคารตามระเบียบตามเอกสารหมาย จ.6 ส่วนที่ 3 ข้อ 2.3.2 ตั้งแต่วันที่โจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับ นับแต่นั้นมาจำเลยย่อมไม่ต้องจ่ายโบนัสให้โจทก์
พิพากษายืน.