แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ประสงค์จะขายฝากที่ดินของตนบางส่วน แต่เพื่อความสะดวกในทางทะเบียนผู้รับขายฝากกับโจทก์จึงตกลงกันว่าให้โจทก์ทำขายฝากไว้กับผู้รับขายฝากทั้งหมดส่วนที่โจทก์ไม่ได้ขายฝากไว้นั้น ผู้รับขายฝากได้ทำเป็นหนังสือยกให้แก่โจทก์และให้โจทก์ครอบครองในส่วนนั้นตลอดมา ดังนี้หนังสือยกให้ที่ผู้รับขายฝากทำให้แก่โจทก์นั้นโจทก์ย่อมอ้างเป็นพยานหักล้างหลักฐานการขายฝากในส่วนที่โจทก์ไม่ตั้งใจขายฝากไว้ได้ เพราะเป็นการสืบถึงนิติกรรมที่อำพรางไว้ ไม่ใช่สืบแก้ไขเอกสารสัญญาขายฝากนอกจากนี้ยังฟังเป็นเอกสารอันหนึ่งได้ว่าผู้รับขายฝากได้สละเจตนาเป็นเจ้าของในที่ดินส่วนนั้น และเมื่อโจทก์ครอบครองมาเป็นเวลาเกิน 20 ปีแล้วย่อมได้กรรมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382อยู่ดี
ปัญหาข้อใดแม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะได้กล่าวไว้ แต่คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ปัญหาข้อนั้นก็เป็นอันยุติเพราะไม่มีอะไรที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยถึง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมฟ้องว่าเดิมโจทก์กับนางนกน้องสาวเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 3536 ตำบลบางพลับ จังหวัดอ่างทองเนื้อที่ 47 ไร่ 1 งาน 20 วา ถือกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง ๆ ของโจทก์อยู่ทางทิศเหนือของนางนกอยู่ทางทิศใต้ แล้วโจทก์กับนางนกได้ขายฝากที่ดินนี้ไว้กับนายแสงพี่ชาย นางนกขายฝากทั้งหมดส่วนของโจทก์ขายฝากเพียง 10 ไร่ 2 งาน 60 วาโจทก์ยังคงเหลือที่อยู่ 13 ไร่ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองตลอดมา ต่อมานางนกตาย นายแสงผู้รับขายฝากได้พูดกับโจทก์และทายาทของนางนกขอให้โอนโฉนดที่ 3536 แก่นายแสงและนายแสงได้ทำหนังสือสัญญายกที่ดินนอกจากที่ขายฝาก 13 ไร่ ซึ่งโจทก์ครอบครองอยู่ให้แก่โจทก์ แล้วโจทก์และนายพานางนกจึงได้โอนที่ดินโฉนดที่ 3536 ให้แก่นายแสง ๆ ได้เอาชื่อนางเยื้อนลงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ต่อมานายแสงได้โอนที่ดินนี้ให้กับนางพยอม แต่โจทก์ยังคงครอบครองที่ของโจทก์ตลอดมา ต่อมานายแสงตาย ถ้าถือว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นโจทก์ก็ได้สิทธิทางครอบครองเกิน 20 ปีแล้วต่อมาจำเลยที่ 1, 2 ได้ทำสัญญาจำนองที่ทั้งแปลงไว้กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1, 2 ได้มาจดทะเบียนขอเพิ่มเงินจำนองจากจำเลยที่ 3 โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อ จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินโฉนดที่ 3536 ระหว่างจำเลยที่ 3 เฉพาะเนื้อที่ 13 ไร่ ของโจทก์เสีย และพิพากษาว่าที่ 13 ไร่นี้เป็นของโจทก์ในทางครอบครอง
จำเลยที่ 1, 2 ต่อสู้ว่าโจทก์และนางนกได้ขายฝากที่รายนี้ไว้กับนายแสงและจำเลยที่ 1 เมื่อนางนกตาย นายอยู่สามีและ ด.ช.ทองม้วน ด.ญ.ละไม ด.ญ.บุญศรี ด.ช.ต้อย บุตรนางนกได้รับมรดกเฉพาะส่วนของนางนก ต่อมาโจทก์และทายาทของนางนกไม่มีเงินชำระหนี้การขายฝากจึงยอมให้ที่ดินหลุดเป็นสิทธิแก่นายแสงและจำเลยที่ 1 ต่อมานายแสงยกที่เฉพาะส่วนของนายแสงให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เคยขายฝากที่เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ไว้กับผู้มีชื่อ 2 ครั้งต่อมาจำเลยที่ 1, 2 ได้จำนองที่รายนี้ไว้กับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 30,000 บาท แล้วมาขอขึ้นเงินอีก 9,000 บาท การจำนองและการขึ้นเงินนี้ได้กระทำไปโดยสุจริต โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ 13 ไร่ โจทก์ทำนานี้โดยเช่าจากจำเลยที่ 1, 2 พินัยกรรม (หนังสือสัญญาของนายแสง) ที่โจทก์อ้างนั้นนายแสงจะได้ทำให้โจทก์ไว้จริงหรือไม่ ๆ ทราบหากทำไว้จริงก็ไม่มีสิทธิเพราะนายแสงได้ยกที่ดินส่วนของนายแสงให้แก่ น.ส.พยอมจำเลยที่ 2 ในขณะยังมีชีวิตอยู่และได้จดทะเบียนสิทธิการให้โดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว พินัยกรรมที่โจทก์อ้างจึงไม่มีผล และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องและห้ามโจทก์และบริวารอย่าให้มาเกี่ยวข้องในที่ ๆ โจทก์เช่าต่อไป
จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่าได้รับจำนองที่ดินรายนี้โดยสุจริตและได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยทำนองเดียวกับที่กล่าวในฟ้องและปฏิเสธว่าไม่เคยเช่านาจำเลยและว่าเมื่อจำเลยทั้งสามจะทำสัญญาจำนองและขอเพิ่มเงินกันโจทก์ได้แจ้งให้ทราบว่าเป็นที่ของโจทก์ 13 ไร่
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้โอนนาของโจทก์ให้นายแสงไป10 ไร่เศษ ส่วนที่เหลือยังครอบครองอยู่จนบัดนี้ไม่เชื่อว่าเช่าจำเลยโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะอย่างเจ้าของติดต่อกัน 10 ปีแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนสิทธิที่ได้มา จึงเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะยกขึ้นต่อสู้กับจำเลยที่ 3 บุคคลภายนอกซึ่งได้รับจำนองไว้โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิไว้โดยสุจริตแล้วไม่ได้ พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 3536 เฉพาะเนื้อที่ ๆ โจทก์ครอบครองอยู่เป็นจำนวน 11 ไร่ 1 งาน 64 วาห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อให้เพิกถอนการจำนองที่รายนี้เฉพาะเนื้อที่ 13 ไร่และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ฯลฯและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 3 ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่โจทก์ว่าโจทก์ขายฝากนาโจทก์เพียง 10 ไร่เศษยังเหลืออีก 10 ไร่เศษนั้น โจทก์มีพยานมั่นคงกว่า พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าโจทก์มิได้ขายฝากส่วนที่โจทก์ยังครอบครองอยู่นั้น การสืบเช่นนี้ย่อมสืบได้เพราะเป็นการสืบถึงนิติกรรมที่อำพรางไว้ไม่ใช่สืบแก้ไขเอกสารสัญญาขายฝากดังจำเลยกล่าว อย่างไรก็ดีการครอบครองของโจทก์นั้นเป็นการครอบครองอย่างเจ้าของ เพราะนายแสงได้ทำหนังสือยกให้โจทก์ หนังสือที่นายแสงทำให้นี้จะเป็นพินัยกรรมที่ใช้ได้หรือไม่ หรือจะเป็นหนังสือที่ยกให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีนี้ เพราะรับฟังเป็นพยานเอกสารอันหนึ่งได้ว่าเป็นการที่นายแสงสละเจตนาเป็นเจ้าของที่ส่วนนั้นและโจทก์ได้ครอบครองอย่างเจ้าของมา 20 ปีแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่เชื่อว่าโจทก์เช่าจำเลย
ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ผู้รับจำนองนั้นโจทก์มิได้อุทธรณ์ปัญหาเฉพาะข้อนี้จึงยุติ แม้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินที่จำนอง จำเลยที่ 3 จะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง มาโต้แย้งมิได้ก็ดี แต่ในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็คงพิพากษายืนมิได้แก้ไขคำบังคับในคำพิพากษาศาลชั้นต้นประการใด จำเลยที่ 3 ก็คงได้รับผลตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่มีอะไรจะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 อีก
พิพากษายืน