แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยสู้ว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิมารดาและบิดาบุญธรรมของจำเลย ไม่ได้อยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์ ถือว่ามิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เพราะการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์นั้นจะต้องเป็นการกล่าวแก้ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง (อ้างฎีกาที่ 1054/2509) จึงเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้คู่ความอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้คู่ความมีสิทธิฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขบิดาจำเลยได้อาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์ต่อมาบิดจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยยังอยู่ในบ้านเรือนดังกล่าว โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยไม่ยอมรื้อ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับและที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๒๐๐ บาท จึงให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๐๐ บาท แก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์สมคบกับนายคงเจ้าของที่ดินเดิมซื้อขายที่พิพาทโดยไม่สุจริต จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าว โดยอาศัยนางผลมารดาจำเลยและนายสุขบิดาบุญธรรมของจำเลยมานาน ๓๐ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ที่พิพาทให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ ๕๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่พิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๗๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งโจทก์ว่าอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท และการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยโจทก์ หากแต่จำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของนางผลมารดาจำเลย และสิทธิของนายสุขบิดาบุญธรรมของจำเลยนั้น ก็ไม่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เพราะการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์จะต้องเป็นการกล่าวแก้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์จำเลยเอง ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๕๔/๒๕๐๙ ระหว่างนางจัน ตรีอุทัย กับพวก โจทก์ นางอิ๋วราศรีกฤษณ์ กับพวก จำเลย จึงเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ตามอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยอุทธรณ์สรุปเป็นใจความว่า โจทก์สมคบกับนายคงบิดาโจทก์ทำการซื้อขายที่ดินพิพาทกันโดยไม่สุจริต โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและก่อนที่จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ เพราะเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกอุทธรณ์ของจำเลยเสียตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๒ (๑) ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย ให้ยกฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย