คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนไม่มีเลขทะเบียนเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นปืนของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย ดังนี้ ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ในข้อสารสำคัญ และจำเลยที่ 1 มิได้หลงต่อสู้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 588/2509)
ปืนมีเลขทะเบียนเครื่องหมายของเจ้าพนักงานเป็นของจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 มอบอาวุธปืนกระบอกที่กล่าวให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรถือในขณะกำลังรอขึ้นรถกลับบ้านมาด้วยกัน ดังนี้ จำเลยที่ 1 ยังไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1824/2499)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดเบอร์ 12 ไม่มีเลขทะเบียนเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับจำนวนหนึ่งกระบอก กับกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 5 นัด ใช้ยิงได้ ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72; (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83 กับขอให้ริบปืนและกระสุนปืนที่จับได้เป็นของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การรับว่ามีปืนและกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตจริง แต่เป็นปืนมีทะเบียนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ปืน กระสุนปืนของกลาง เป็นของตนมีทะเบียนและมีใบอนุญาตตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ปืนของกลางเป็นของจำเลยที่ 2ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72; (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 มาตรา 3 จำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท ลดโทษตามมาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำให้ยก และให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ปืนและกระสุนปืนคืนจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทำความเห็นแย้งและรับรองอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า อาวุธปืนของกลางของจำเลยที่ 2 เป็นอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย ปัญหาที่จะพึงวินิจฉัยในอันดับแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดเบอร์ 12 จำนวนหนึ่งกระบอกไม่มีเลขทะเบียนเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ แต่ตามทางพิจารณากลับได้ความว่าอาวุธปืนของกลางที่กล่าวหาว่าจำเลยมีไว้ในความครอบครองนั้น เป็นอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 และเป็นอาวุธปืนที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่เป็นข้อสำคัญ และทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้หลงต่อสู้ประการใดเพราะองค์ความผิดในเรื่องนี้อยู่ที่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางนั้นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่จริงหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็รับแล้วว่ามีอาวุธปืนของกลางไว้โดยมิได้รับอนุญาตจริง แต่แถลงว่าเป็นปืนมีทะเบียนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 ดังนั้น ศาลย่อมจะลงโทษจำเลยที่ 1 ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้ ทั้งนี้ตามบรรทัดฐานในคำพิพากษาฎีกาที่ 588/2509 พนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิ โจทก์ นายหลงหรือสามารถ เหิงขุนทดหรือดารากูล จำเลย

ปัญหาที่จะพึงวินิจฉัยในอันดับต่อไปนั้นมีว่า คดีนี้ถือได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางไว้ในความครอบครอง ตามทางพิจารณาได้ความว่าสิบตำรวจตรีสมพงษ์ มณี กับพวก จับอาวุธปืนของกลางได้จากจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังอยู่กับจำเลยที่ 2 ที่ตลาดสำนักขุนเณร สถานที่เกิดเหตุ เนื่องจากจำเลยทั้งสองพร้อมด้วยมารดาของจำเลยที่ 1 เดินทางกลับจากนาที่บ้านกุดประดู่ได้แวะเข้ามาที่ตลาดนั้นเพื่อว่าจ้างรถจักรยานยนต์ไปส่งบ้านซึ่งอยู่ที่ตำบลห้วยเขต และจำเลยที่ 2 ได้มอบอาวุธปืนของกลางแก่จำเลยที่ 1 ในขณะที่กำลังรอจะขึ้นรถดังกล่าว ก่อนแต่นี้ไม่เคยมอบให้ ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยนั้น บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้ามาซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และคำว่า “มี” ตามพระราชบัญญัติที่กล่าวนี้ มาตรา 4(6) ได้ให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่ามีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในความครอบครองดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ยึดถืออาวุธปืนของกลางของบิดาไว้อย่างกรณีเรื่องนี้ ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในอาวุธปืนนั้น และการที่จำเลยที่ 1 ยึดถืออาวุธปืนไว้ให้บิดาผู้เป็นเจ้าของชั่วขณะหนึ่งโดยที่เจ้าของก็คงควบคุมดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดโดยตลอด จึงหาใช่ว่าจำเลยที่ 2 ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ครอบครองเป็นอิสระโดยลำพังดังศาลอุทธรณ์กล่าวไม่ เช่นนี้ จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองในอาวุธปืนนั้น เพราะจำเลยที่ 1 มิได้ยึดถือเพื่อตนเลย นอกจากนี้สิทธิครอบครองอาวุธปืนของกลางก็ยังคงอยู่กับจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของ ฉะนั้น จึงไม่เรียกว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางไว้ในความครอบครองดังที่โจทก์กล่าวหา จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีความผิด คดีทำนองนี้ศาลฎีกาเคยพิพากษาเป็นบรรทัดฐานมาแล้ว คือ ฎีกาที่ 1824/2499 พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีโจทก์นายสมจิตร ปุดตา จำเลย เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้ความนั้นไม่เป็นความผิดเช่นนี้แล้วถึงแม้จำเลยที่ 1 จะได้ให้การรับดังที่ศาลชั้นต้นจดไว้ ก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้ต้องยกฟ้อง

โดยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องกับศาลทั้งสองที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วยนอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share