คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การจำเลยที่ว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นนั้น ไม่ทำให้จำเลยอุทธรณ์ฎีกาได้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่า เพราะข้อสัญญาขายฝากไม่ยอมให้โจทก์จำหน่ายทรัพย์สินที่ขายฝาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2498 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดที่ 1249 ตำบลบ้านทวาย อำเภอบางรัก จังหวัดพระนครพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันทำสัญญา จำเลยยอมชำระค่าเช่าให้เป็นรายเดือน ๆ ละ 2,800 บาท ภายในวันที่ 5 ของเดือนทุกเดือน จำเลยค้างค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2498 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 14 เดือน 20 วัน แต่จำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้ว 1 เดือน คงค้างอีก 38,266 บาท โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างจำนวนนี้แก่โจทก์ และตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2499 อีกเดือนละ 2,800 บาท จนกว่าจะครบกำหนด 2 ปี ทั้งให้จำเลยใช้ค่าเสียหายร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีของเงินที่ค้างชำระจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ

จำเลยให้การข้อ 1 ว่านอกจากที่จำเลยจะให้การต่อไป จำเลยปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้น ข้อถัดไปจำเลยปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ตกลงและไม่เคยลงนามในสัญญาเช่าทรัพย์สินดังโจทก์ฟ้อง หากจะมีการลงนามในสัญญาเช่านั้นจริง ก็เป็นเพราะการฉ้อฉลของโจทก์ที่หลอกให้จำเลยลงชื่อโดยไม่ทราบว่าเป็นสัญญาเช่า จำเลยเพิ่งทราบเมื่อถูกฟ้องคดีนี้ สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆียกรรม หากจะฟังว่ามีการเช่ากันจริง โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินค่าเช่าจนครบ 2 ปี เพราะเป็นค่าเช่าซึ่งยังไม่ถึงกำหนดต้องชำระ และอาจมีเหตุใดเหตุหนึ่งซึ่งทำให้การเช่านี้ต้องระงับไปเสียก่อนก็ได้ทั้งสัญญาเช่านั้นไม่เป็นพยานหลักฐานในคดีซึ่งศาลจะรับฟัง ความจริงจำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามคำฟ้องไว้แก่โจทก์เป็นเงิน 95,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน มีกำหนด 2 ปี รวมกับต้นเงิน จึงเป็น 140,000 บาท จำเลยมีหน้าที่ต้องไถ่ถอนการขายฝากทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยตามจำนวนดังกล่าวภายในกำหนด 2 ปี โดยไม่ต้องเสียค่าอื่นใดอีก การที่โจทก์จะให้ชำระค่าเช่าจึงเป็นการฉ้อฉลของโจทก์ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ก่อนพิจารณา ทนายจำเลยแถลงต่อศาลรับฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์จริง แต่เพราะการฉ้อฉลของโจทก์ที่หลอกให้จำเลยลงชื่อโดยไม่ทราบว่าเป็นสัญญาเช่า เพิ่งทราบเมื่อถูกฟ้องศาลแพ่งสั่งให้จำเลยมีหน้าที่สืบก่อนเฉพาะประเด็นข้อนี้ ส่วนประเด็นที่ว่าขายฝากกันเท่าใดแน่นั้น ไม่อนุญาตให้สืบศาลแพ่งพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดที่ 1249 ไว้กับโจทก์ แล้วจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงนี้พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่าหมาย จ.2 และไม่เชื่อว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้เซ็น พิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 32,266 บาท กับเงินค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2499 เดือนละ 2,800 บาท จนกว่าจะเลิกสัญญาเช่าคือ ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2500 พร้อมทั้งค่าเสียหายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 38,266 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ข้อ 1 จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฟ้องอุทธรณ์ และปัญหานี้ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2 ศาลแพ่งให้จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์จนกว่าจะเลิกสัญญาเช่า ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาฎีกาโจทก์แล้ว จำเลยอ้างเหตุสำคัญแต่ว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้น จึงเพียงพอที่จำเลยจะยกขึ้นอุทธรณ์ได้ว่าเมื่อสัญญาขายฝากห้ามจำหน่ายทรัพย์สินไว้โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้จำเลยได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า ทั้งโจทก์ก็ให้ถ้อยคำไว้ในเอกสารหมาย ล.2 ว่าโจทก์รับซื้อฝากไว้เพื่อช่วยเหลือจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเช่าจากจำเลยได้

ปัญหามีว่า ฎีกาจำเลยเช่นนี้ชอบที่จะรับวินิจฉัยให้หรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ฎีกาจำเลยเหมือนกับว่าเพียงแต่จำเลยปฏิเสธเท่านั้น จำเลยอาจยกเป็นข้ออุทธรณ์และฎีกาได้โดยไม่มีข้อจำกัดซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง เมื่อจำเลยปฏิเสธ จำเลยจะต้องแสดงโดยแจ้งชัดถึงเหตุผลแห่งการนั้นด้วย ดังจะเห็นได้จากคำพิพากษาฎีกาที่ 50/2499 ระหว่างนางสังวาล ไชยภัค โจทก์ นายเฮ็ง แซ่จาง จำเลยเป็นตัวอย่างแต่จำเลยคงต่อสู้ฐานเดียวว่า เป็นการฉ้อฉลของโจทก์หลอกให้จำเลยลงชื่อโดยไม่ทราบว่าเป็นสัญญาเช่าดังนี้ ฎีกาจำเลยจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share