แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วมีจำเลยคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกมาจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โดยที่เกิดเหตุ มีเศษผ้าที่มีกลิ่นน้ำมันเหลือเป็นเศษให้เห็นอยู่ และจากการ จุดไฟวางเพลิงนี้เองทำให้ไฟไหม้ข้อเท้าทั้งสองข้างของจำเลย บาดแผลที่เกิดจากไฟไหม้จึงปรากฏให้เห็นเป็นรอยแผลสดอยู่ โดยในวันรุ่งขึ้นจำเลยได้ไปทำการรักษาบาดแผลนี้ จึงมิใช่ เป็นเหตุบังเอิญที่จำเลยถูกน้ำร้อนลวกในคืนเกิดเหตุ แล้ววันรุ่งขึ้นจึงได้ไปทำการรักษาดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยวางเพลิงรถของผู้เสียหายก็เพราะจำเลยโกรธ ที่ผู้เสียหายกีดกันไม่ให้จำเลยคืนดีกับพี่สาวของผู้เสียหาย นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อรถที่จำเลยวางเพลิงอยู่ในโรงเก็บรถ ซึ่งอยู่ติดกับอาคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคารและเป็น อาคารที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายกับพวกแล้วจำเลยย่อม เล็งเห็นว่าเพลิงนั้นย่อมลุกลามไปเผาผลาญอาคาร ที่ตั้งภัตตาคารและที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยนั้นด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้แจ้งชัดว่าจำเลย เป็นผู้วางเพลิงรถของผู้เสียหายและพยายามวางเพลิงอาคาร ที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้วางเพลิงเผาโรงเรือนที่นายอภิสิทธิ์หรืออภิสิษฐ จินตวีรสกุลผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยโดยใช้เศษผ้าชุบ น้ำมันวางใต้รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ บี เอ็ม ดับบลิว หมายเลขทะเบียน 5 ฮ-9068 กรุงเทพมหานคร ของผู้เสียหายซึ่งจอดอยู่ในโรงเก็บรถ อันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือนที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยแล้วจุดไฟวางเพลิงเผาเศษผ้าจนลุกไหม้ จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะมีผู้พบเห็นเพลิงไหม้ขึ้นเสียก่อน และแจ้งเจ้าพนักงานดับเพลิงได้ทันท่วงทีเพลิงจึงไม่ลุกไหม้โรงเรือนที่คนอยู่อาศัยเพียงแต่เป็นเหตุให้รถยนต์ดังกล่าวได้รับความเสียหายทั้งคัน คิดเป็นเงิน2,200,000 บาท และเป็นเหตุให้รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อฮุนไดหมายเลขทะเบียน ค-8617 ปัตตานี รถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิหมายเลขทะเบียนปัตตานี ฆ-0480 และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าหมายเลขทะเบียน ปัตตานี ฉ-6317 ของผู้มีชื่อซึ่งจอดอยู่ใกล้รถยนต์ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายบางส่วนคิดเป็นเงิน 112,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217, 218, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1) ประกอบมาตรา 80ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องรถยนต์ยี่ห้อบี เอ็ม ดับบลิว หมายเลขทะเบียน 5 ฮ-9068 กรุงเทพมหานคร ของนายอภิสิทธิ์หรืออภิสิษฐ จินตวีรสกุล ผู้เสียหาย ซึ่งจอดอยู่ในโรงเก็บรถอันเป็นส่วนหนึ่งของอาคารที่ตั้งภัตตาคารลอนดอนและเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายกับพวกตามภาพถ่ายหมาย จ.3 ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายทั้งคันและเพลิงได้ไหม้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ของบุคคลอื่นที่จอดอยู่ใกล้กันกับรถของผู้เสียหายบางส่วนอีกด้วย ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุและภาพถ่ายหมาย ป.จ.1 จำเลยเป็นพี่เขยของผู้เสียหายโดยจำเลยเป็นสามีนางณัฐยาน์ จินตวีรสกุลพี่สาวของผู้เสียหาย แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยมาอยู่อาศัยในอาคารที่ตั้งภัตตาคารลอนดอนกับพี่สาวของผู้เสียหายและผู้เสียหายกับพวก ต่อมาพี่สาวของผู้เสียหายได้หย่ากับจำเลยแล้วจำเลยได้แยกไปอยู่ที่อื่น ต่อมาจำเลยได้ขอคืนดีกับพี่สาวของผู้เสียหายแต่พี่สาวของผู้เสียหายไม่ยอมคืนดีด้วย โดยผู้เสียหายกับพวกได้ช่วยกีดกันจำเลยในการมาขอคืนดีกับพี่สาวของผู้เสียหาย และไม่ให้จำเลยมาอยู่อาศัยที่อาคารสถานที่ตั้งภัตตาคารลอนดอนที่ผู้เสียหายและพี่สาวของผู้เสียหายอยู่อาศัยนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้วางเพลิงรถยนต์ของผู้เสียหายและพยายามวางเพลิงอาคารที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า นายสาทร กาญจนชิมพยานโจทก์เห็นจำเลยกำลังเดินออกมาจากอาคารที่เกิดเหตุโดยในที่เกิดเหตุมีวัสดุในการวางเพลิงวางอยู่ เมื่อจำเลยถูกจับกุมก็พบว่าบริเวณข้อเท้าทั้งสองข้างของจำเลยมีรอยผื่นแดงคล้ายถูกไฟไหม้แพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากความร้อนก่อนเกิดเหตุจำเลยเป็นพี่เขยของผู้เสียหายและได้หย่ากับพี่สาวของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยจะมาขอคืนดีกับพี่สาวผู้เสียหายพี่สาวของผู้เสียหายไม่ยอมคืนดีด้วย ผู้เสียหายกับพวกก็ไม่ประสงค์ให้พี่สาวของผู้เสียหายคืนดีกับจำเลยและไม่ประสงค์ให้จำเลยมาอยู่กับผู้เสียหาย จำเลยจึงโกรธแค้นทำการวางเพลิงรถยนต์ของผู้เสียหายพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้จุดไฟวางเพลิงรถยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องเห็นว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกีดกันไม่ให้จำเลยมาคืนดีกับพี่สาวของผู้เสียหายและไม่ให้จำเลยมาอยู่กับพี่สาวของผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยเบิกความยอมรับในข้อนี้จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่พอใจในการกระทำของผู้เสียหายและมีเรื่องโกรธเคืองกับผู้เสียหายแล้ว ดังนั้น ที่นายสาทร กาญจนชิม พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อพยานเห็นเปลวไฟพุ่งออกมาจากบริเวณอาคารที่ตั้งภัตตาคารลอนดอนแล้วพยานได้จอดรถที่หน้าภัตตาคารแล้วเดินเข้าไปในบริเวณภัตตาคารที่เกิดเหตุพบจำเลยกำลังเดินออกมาจากจุดที่เกิดเหตุพยานจำจำเลยได้เพราะมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้านีออนที่เปิดสว่างหลายหลอด เห็นหน้าจำได้ชัดเจนและพยานได้สอบถามจำเลยว่าไฟอะไรที่กำลังลุกไหม้ จำเลยบอกไม่รู้พยานบอกว่าไฟกำลังไหม้รถยนต์ให้รีบไปแจ้งดับเพลิง แต่จำเลยกลับเดินออกไปและทราบต่อมาว่าจำเลยไม่ได้ไปบอกเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงน่าเชื่อเพราะพยานรู้จักจำเลยมานานและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนย่อมเบิกความไปตามสัตย์จริง ซึ่งคำเบิกความของนายสาทรไปสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตำรวจโทวิศิษฐ์ อักษรแก้วพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนที่ว่าเมื่อพยานไปถึงที่เกิดเหตุแล้วพบว่าเพลิงได้สงบลงแล้วโดยมีรถดับเพลิงไปช่วยดับ ได้ถ่ายภาพความเสียหายของรถที่ถูกเพลิงไหม้ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 ทำแผนที่เกิดเหตุและบันทึกสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.12 ชั้นสอบสวนได้สอบปากคำของนายสาทรซึ่งนายสาทรให้การว่าพบจำเลยกำลังเดินสวนออกมาจากที่เกิดเหตุจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่กองกำกับการวิทยาการว่าในที่เกิดเหตุมีผ้าชุบ น้ำมันเชื้อเพลิงตกอยู่บริเวณใต้ท้องรถ บี เอ็ม ดับบลิว เมื่อจับจำเลยได้แล้วได้ตรวจพบว่าที่บริเวณข้อเท้าของจำเลยทั้งสองข้างมีรอยผื่นแดงคล้ายกับถูกไฟไหม้และไปสอดคล้องกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกทนงค์ทองประดับเพชร พยานโจทก์ที่เป็นสารวัตรวิทยาการที่ว่าพยานได้ตรวจพบเศษผ้าที่มีกลิ่นน้ำมันอยู่บริเวณแผ่นป้ายทะเบียนรถด้านหน้ารถและพบเศษผ้าที่มีกลิ่นน้ำมันนั้นไหม้ไปแล้วบางส่วนก็ยังเหลือเป็นเศษอยู่ สันนิษฐานว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ตัวรถบี เอ็ม ดับบลิว ก่อนแล้วไฟลุกลามไปไหม้รถฮุนไดและรถจักรยานยนต์อีกสองคัน ตามรายงานพร้อมภาพถ่ายหมาย ป.จ.1และยังไปสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตรีพงษ์ศักดิ์ จงจิระศิริพยานโจทก์ผู้รักษาบาดแผลที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของจำเลยที่ว่าลักษณะบาดแผลเป็นลักษณะบาดแผลที่ถูกความร้อนธรรมดาแต่เป็นแผลที่เกิดจากไฟหรือไม่พยานไม่ทันได้สังเกตและนางสาวสุมาลี ไวว่อง พยานโจทก์แพทย์ผู้ตรวจบาดแผลที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของจำเลยที่เบิกความว่าบาดแผลมีหลายแห่งตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.10จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวสันนิษฐานว่าเกิดจากความร้อนจากคำเบิกความประกอบเอกสารของพยานโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยเป็นผู้จุดไฟวางเพลิงรถของผู้เสียหายเพราะเมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วมีจำเลยคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกมาจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โดยที่เกิดเพลิงไหม้มีเศษผ้าที่มีกลิ่นน้ำมันเหลือเป็นเศษให้เห็นอยู่ และเพราะการจุดไฟวางเพลิงนี้เองทำให้ไฟไหม้ข้อเท้าทั้งสองข้างของจำเลยบาดแผลที่เกิดจากไฟไหม้จึงปรากฏให้เห็นเป็นรอยแผลสดอยู่โดยในวันรุ่งขึ้นจำเลยได้ไปทำการรักษาบาดแผลนี้ จึงมิใช่เป็นเหตุบังเอิญที่จำเลยถูกน้ำร้อนลวกในคืนเกิดเหตุแล้ววันรุ่งขึ้นจึงได้ไปทำการรักษาดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยวางเพลิงรถของผู้เสียหายก็เพราะจำเลยโกรธที่ผู้เสียหายกีดกันไม่ให้จำเลยคืนดีกับพี่สาวของผู้เสียหายนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อรถที่จำเลยวางเพลิงอยู่ในโรงเก็บรถซึ่งอยู่ติดกับอาคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคารลอนดอนและเป็นอาคารที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายกับพวกแล้วจำเลยย่อมเล็งเห็นว่าเพลิงนั้นย่อมลุกลามไปเผาผลาญอาคารที่ตั้งภัตตาคารลอนดอนและที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยนั้นด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้แจ้งชัดว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิงรถของผู้เสียหายและพยายามวางเพลิงอาคารที่ผู้เสียหายกับพวกอยู่อาศัยตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น