คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่ 3 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว แต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดกฎหมาย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นก็ได้สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 – 2 ฉะนั้นมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นกรณีเดียวกันซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในเหตุลักษณะคดี คดีของโจทก์ต้องมีมูลทั้ง 3 คนนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับเหมาก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายกรุงเทพ – นครปฐม ไว้จากกรมทางหลวงแผ่นดิน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ตกลงจ้างโจทก์ให้ทำการขุดทราย ฯลฯ มาทำถนนสายที่จำเลยที่ ๑ รับเหมาตามสัญญานี้จำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าให้โจทก์สองล้านบาทเพื่อใช้จ่ายในกิจการที่รับจ้าง ต่อมาจำเลยจ่ายให้เพียง ๑,๓๕๐,๐๐๐ บาท การที่โจทก์รับเงินล่วงหน้าจากจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้นำหลักทรัพย์ประกัน คือ ทะเบียนเรือ ๑ ฉบับ ตั๋วสัญญาใช้เงินรวม ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท อีกฉบับหนึ่งราคา ๖๕๐,๐๐๐ บาท มอบให้จำเลยที่ ๑ รับไว้เป็นประกัน มีข้อตกลงและเป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อทั้งสองฝ่ายคิดบัญชีเรื่องงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าโจทก์จะต้องจ่ายเงินคืนแก่จำเลยที่ ๑ เท่าใด ก็ให้เบิกจากหลักประกันที่โจทก์ให้ไว้ คือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน
ต่อมาจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างตามผลงานที่โจทก์ทำได้ทุก ๗ วัน เป็นเหตุให้การงานของโจทก์ต้องเสียหาย โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ได้ห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ นำตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง ๒ ฉบับไปใช้ เพราะจำเลยที่ ๑ ต้องใช้ค่าจ้างและค่าเสียหายแก่โจทก์เกือบสิบล้านบาท
ระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๐๗ ถึงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง ๒ ฉบับไปเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ โดยสลักหลังโอนให้ธนาคารแห่งอินโดจีนเรียกเก็บจากธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา ๑,๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น อันเป็นการยักยอกหนังสือหลักประกันหนี้ซึ่งโจทก์มอบให้จำเลยที่ ๑ รับมอบไว้ ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ทราบความจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิด จึงไม่ยอมจ่ายเงินให้ตามหนังสือสัญญาใช้เงิน จำเลยร่วมกันทุจริตทำการยกยอกนั้น
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๐,๘๓,๓๕๒,๓๕๓
ศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คดีสำหรับจำเลยที่ ๓ ไม่รับประทับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งเฉพาะที่สั่งไม่รับฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ ๓ ศาลชั้นต้นสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และ ที่ ๓ ว่าสมคบร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายฐานยักยอกทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกัน และการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรณีเดียวกัน ซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในลักษณะคดีแล้ว คดีของโจทก์มีมูลทั้ง ๓ คน ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่มีมูลสำหรับจำเลยที่ ๓ จึงไม่ถูกต้องและเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่า จำเลยที่ ๓ เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงิน เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่ ๓ ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง แต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดตามกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัดออกและมอบให้จำเลยไว้ไม่ใช่ตั๋วสัญญาใช้เงินธรรมดา แต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยที่ ๓ ย่อมทราบดีนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริง
ข้อที่โจทก์ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งว่าไม่มีมูล เห็นว่าโจทก์จะเถียงไม่ได้ว่าพยานหลักฐานของโจทก์พอฟังได้ว่าคดีมีมูล เพราะเป็นการเถียงข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นก็อาศัยแต่ข้อเท็จจริงว่าคดีไม่มีมูล ฉะนั้น “คดีมีมูลหรือไม่” จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
พิพากษายืน.

Share