แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ที่มีขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ประธานคือ หนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ กรณีจึงไม่มีหนี้ประธาน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้จำนองรับผิดตามสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมอบอำนาจให้ จ. ไปจดทะเบียนจำนองหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 3,496,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1525 ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ที่ขาดจนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับโจทก์ไปจดทะเบียนปลอดจำนองที่ดินแปลงดังกล่าว หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,496,301 บาท หากจำเลยไม่ชำระหนี้ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1525 ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นเงิน 4,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1525 ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา นายจากได้นำหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไปใช้ในการจดทะเบียนจำนองที่ดินแก่โจทก์ สัญญาจำนองระบุว่า จำนองเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยได้กู้ยืมจากโจทก์ และให้ถือว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานในการกู้ยืม ตามหนังสือสัญญาจำนอง ซึ่งระบุว่านายจากทำสัญญาจำนองในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากทั้งโจทก์และจำเลย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ พิเคราะห์แล้ว ในข้อนี้โจทก์มีพยานมาเบิกความ 2 คน คือ นางวันทนีและโจทก์ โดยนางวันทนีเบิกความว่า พยานเป็นผู้ดูแลและติดตามหนี้ให้แก่โจทก์ มูลหนี้คดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 จำเลยขอยืมเงินจากโจทก์จำนวน 2,000,000 บาท โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 1525 มาจำนองเป็นประกันและให้ใช้สัญญาจำนองเป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินด้วย ส่วนโจทก์เบิกความว่า เมื่อประมาณปี 2538 นายวิวัฒน์บิดาจำเลยมาขอเช่าซื้อรถยนต์บรรทุก 11 คัน จากบริษัทสระบุรีเอสไอทีลิสซิ่ง จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ รถยนต์ดังกล่าวเป็นของบริษัทสระบุรีอีซูซุเซลส์ จำกัด แต่นายวิวัฒน์ขาดเงินดาวน์ 2,000,000 บาท นายวิวัฒน์จึงปรึกษาโจทก์โดยขอนำที่ดินของจำเลยมาจำนองแก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาท แล้วนายวิวัฒน์นำเงินจากโจทก์ไปชำระเป็นเงินดาวน์แก่บริษัทสระบุรีอีซูซุเซลส์ จำกัด โจทก์ให้นายวิวัฒน์กู้ยืมเงินเนื่องจากรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2531 ขณะเบิกความโจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวของบริษัทสระบุรีทรัคเซลส์ จำกัด ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของบริษัทสระบุรีอีซูซุเซลส์ จำกัดจนถึงขณะเบิกความโจทก์ยังไม่เคยพบจำเลยเลย พิเคราะห์แล้ว นางวันทนีมิได้เบิกความยืนยันว่ารู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยืมเบิกความว่า ไม่เคยพบจำเลย โจทก์ให้นายวิวัฒน์กู้ยืมเงินเนื่องจากรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2531 และนายวิวัฒน์นำเงินจากโจทก์จำนวน 2,000,000 บาท ไปชำระเป็นเงินดาวน์แก่บริษัทสระบุรีอีซูซุเซลส์ จำกัด อันเป็นการยืนยันว่าโจทก์ให้นายวิวัฒน์กู้ยืมเงินจำนวน 2,000,000 บาท และมอบเงินกู้ให้แก่นายวิวัฒน์ แม้คำเบิกความของโจทก์จะขัดแย้งกับข้อความในหนังสือสัญญาจำนองที่ระบุว่า จำนองเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์และให้ถือว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานในการกู้ยืม แต่โจทก์มิได้นำนายจากผู้รับมอบอำนาจให้ทำสัญญาจำนองมาเบิกความ อีกทั้งคำเบิกความดังกล่าวของโจทก์เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า ขณะนั้นจำเลยยังเป็นนักศึกษา จำเลยไม่เคยรู้จักโจทก์และไม่เคยทราบเรื่องเกี่ยวกับหนี้จำนวน 2,000,000 บาท ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจำนวน 2,000,000 บาท จากโจทก์ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสองว่า จำเลยไม่ได้จำนองที่ดินแก่โจทก์เพราะจำเลยไม่เคยรู้จักนายจากและไม่เคยมอบอำนาจให้นายจากไปทำสัญญาจำนองแทนจำเลย อีกทั้งโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริต การจำนองตามหนังสือสัญญาจำนอง จึงไม่มีผลผูกพันจำเลย พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จำนองรับผิดตามหนังสือสัญญาจำนอง ซึ่งมีข้อสัญญาว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1525 แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินที่จำเลยกู้จากโจทก์ เห็นว่า หนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ที่มีขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ประธานคือ หนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ กรณีจึงไม่มีหนี้ประธาน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้จำนองรับผิดตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมอบอำนาจให้นายจากไปจดทะเบียนจำนองหรือไม่ และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้จำนองมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ