แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารโจทก์ร่วมตำแหน่งพนักงานพิธีการสินเชื่อทำบันทึกข้อมูลรายการขายลดเช็คอันเป็นเท็จ เป็นเพียงการใช้กลอุบายว่ามีลูกค้านำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์ร่วม แม้จะได้รับใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คแล้วนำไปเปิดบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี ป. ซึ่งเป็นบัญชีปลอมที่ธนาคารโจทก์ร่วมเพื่อพักเงินที่จะลักไว้ แต่จำนวนเงินตามใบเสร็จรับเงินหรือในบัญชีเงินฝากปลอมยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม โดยเฉพาะบัญชีเงินฝากเป็นเพียงหลักฐานควบคุมการฝากและถอนเงินของเจ้าของบัญชีเท่านั้นและการถอนเงินแต่ละครั้งจำต้องทำรายการถอนเงินในแบบพิมพ์ใบถอนเงิน ตราบใดที่ยังไม่มีการถอนเงินไปจากโจทก์ร่วม การเอาทรัพย์ไปก็ยังไม่เกิดขึ้น แม้จะเปิดบัญชีเป็นเท็จไว้ก็ยังถือไม่ได้ว่าการลักเงินสดสำเร็จแล้ว เมื่อจำเลยทำรายการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวเอาเงินสดของโจทก์ร่วมไป 4 ครั้ง คนละวันต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์4 กรรม มิใช่ 2 กรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือเมื่อวันที่ 4พฤษภาคม 2538 วันที่ 9 พฤษภาคม 2538 วันที่ 23 สิงหาคม 2538 และวันที่ 4ตุลาคม 2538 เวลากลางวัน จำเลยลักเงินสดจำนวน 340,000 บาท 103,000 บาท270,000 บาท และ 194,500 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 907,500 บาท ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาจอมบึง อันเป็นสาขาหนึ่งของธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไป โดยใช้กลอุบายทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่ามีลูกค้านำเช็คมาขายลดให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาจอมบึง แล้วจำเลยเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าวของนายจ้างไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11), 91 กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนรวมทั้งสิ้น 907,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11) วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 4 กรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนรวมทั้งสิ้น 907,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 844,500 บาทแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมสาขาจอมบึง ตำแหน่งพนักงานพิธีการสินเชื่อ มีหน้าที่รับซื้อขายลดเช็คของลูกค้าโจทก์ร่วมโดยจะต้องลงรายละเอียดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์และสมุดบันทึก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2538 จำเลยบันทึกรายละเอียดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จว่านายประเวช ชัชวาล นำเช็คมาขายลดแก่โจทก์ร่วม 1 ฉบับ โดยไม่มีการซื้อขายลดเช็คจริง และได้นำใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของนายประเวชซึ่งเป็นบัญชีปลอมที่เปิดในวันเดียวกันนั้นจำนวน 443,041.10 บาท แล้วจำเลยทำรายการถอนเงินสดจากโจทก์ร่วมจำนวน 340,000 บาท ให้แก่จำเลยรับไปแทนนายประเวช ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม2538 จำเลยนำสมุดคู่ฝากของนายประเวชทำรายการถอนเงินสดจากโจทก์ร่วมอีก60,000 บาท ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2538 จำเลยบันทึกรายละเอียดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอีกว่านายสมัย แก่นศรี นำเช็คมาขายลดแก่โจทก์ร่วม1 ฉบับ โดยไม่มีการซื้อขายลดเช็คจริงและได้นำใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของนายประเวชจำนวน 464,739.75 บาท ครั้นในวันที่ 23 สิงหาคม2538 จำเลยนำสมุดคู่ฝากของนายประเวชทำรายการถอนเงินสดจากโจทก์ร่วมจำนวน250,000 บาท และในวันที่ 4 ตุลาคม 2538 จำเลยทำรายการขอออกแคชเชียร์เช็คและถอนเงินสดจากโจทก์ร่วมรวมจำนวน 194,500 บาท การกระทำของจำเลยดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาต้องกันว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์4 กรรม ต่างกัน คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้เพียงว่าจำเลยกระทำความผิดเพียง 2 กรรม หรือไม่ในปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาว่า ลักษณะแห่งการกระทำในคดีนี้เป็นการกระทำความผิดเพียง 2 กรรม เพราะเมื่อจำเลยบันทึกรายละเอียดข้อมูลรายการขายลดเช็คที่อ้างว่าเป็นของนายประเวชและของนายสมัยในเครื่องคอมพิวเตอร์จนกระทั่งได้รับใบเสร็จรับเงินการขายลดเช็คแต่ละฉบับ ถือได้ว่าการลักเงินของโจทก์ร่วมจำนวนตามใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่สำเร็จแล้ว การนำเงินจำนวนตามใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คเข้าบัญชีนายประเวชซึ่งเป็นบัญชีปลอมก็เป็นเพียงนำจำนวนเงินที่ลักสำเร็จแล้ว 2 ครั้ง ไปพักไว้ในบัญชีดังกล่าว เมื่อมีการถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวในภายหลังไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์อีกนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น…ไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์…”ความผิดฐานลักทรัพย์มีองค์ประกอบที่สำคัญข้อหนึ่งคือ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักเงินสดของโจทก์ร่วมไป 4 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2538จำนวน 340,000 บาท วันที่ 9 พฤษภาคม 2538 จำนวน 103,000 บาท วันที่ 23สิงหาคม 2538 จำนวน 270,000 บาท และวันที่ 4 ตุลาคม 2538 จำนวน 194,500บาท ซึ่งการจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จในแต่ละครั้งก็ต่อเมื่อจำเลยเบิกเอาเงินสดของโจทก์ร่วมไปจากโจทก์ร่วม ดังนั้น การที่จำเลยบันทึกรายละเอียดข้อมูลรายการขายลดเช็คแต่ละฉบับในเครื่องคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ จึงเป็นเพียงการใช้กลอุบายทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่ามีลูกค้านำเช็คแต่ละฉบับไปขายลดให้แก่โจทก์ร่วม แม้การบันทึกข้อมูลรายการขายลดเช็คแต่ละฉบับดังกล่าวจะสำเร็จจนได้รับใบเสร็จรับเงินจากการขายลดเช็คแล้วนำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปเปิดบัญชีเงินฝากชื่อบัญชีนายประเวช ซึ่งเป็นบัญชีปลอมที่โจทก์ร่วมนั่นเอง เพื่อพักจำนวนเงินที่จะลักไว้ก็ตามแต่จำนวนเงินตามใบเสร็จรับเงินหรือจำนวนเงินในบัญชีเงินฝากปลอมดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม โดยเฉพาะบัญชีเงินฝากนั้นเป็นเพียงสมุดบันทึกรายการที่โจทก์ร่วมใช้เป็นหลักฐานควบคุมการฝากและถอนเงินของเจ้าของบัญชีเท่านั้น และการถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวในแต่ละครั้งจำต้องทำรายการถอนเงินในแบบพิมพ์ใบถอนเงิน ฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการถอนเงินไปจากโจทก์ร่วมองค์ประกอบในความผิดฐานลักทรัพย์ในข้อเอาทรัพย์ไปจึงยังไม่เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ปรากฏจำนวนเงินในบัญชีที่แม้จะเปิดเป็นเท็จไว้ก็ยังถือไม่ได้ว่า การลักเงินสดของโจทก์ร่วมสำเร็จแล้วดังที่จำเลยฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้วว่าจำเลยทำรายการถอนเงินโดยอ้างเท็จว่ามีลูกค้ามาถอนแล้วเอาเงินสดของโจทก์ร่วมไป 4 ครั้ง ตามวันและจำนวนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังมา จึงเป็นการลักเงินสดของโจทก์ร่วมคนละวันต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ 4 กรรม ต่างกัน มิใช่ 2 กรรม ดังที่จำเลยฎีกา”
พิพากษายืน