แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้การมอบหมายให้เป็นตัวแทนดูแลการขายทอดตลาดและหาบุคคลภายนอกมาซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตลอดจนการตกลงว่าจะให้ค่าบำเหน็จตอบแทนการดำเนินการไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยมอบหมายให้โจทก์ดูแลการขายทอดตลาดและตกลงจะจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ โจทก์จะต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงให้ปรากฏว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เป็นเรื่องที่ทนายจำเลยเป็นผู้แจ้งให้โจทก์กระทำการดังกล่าว หาใช่จำเลยเป็นผู้มอบหมายและตกลงจะให้ค่าบำเหน็จดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องไม่ ทั้งการแจ้งดังกล่าวของทนายจำเลยยังมีลักษณะเป็นการจำหน่ายสิทธิหรือผลประโยชน์ของตัวความ ไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ แทนจำเลยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ทนายความจะมีอำนาจกระทำได้โดยไม่จำต้องมีการมอบอำนาจอย่างชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าการที่ทนายจำเลยแจ้งเสมียนทนายโจทก์ดังกล่าวข้างต้น เป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่ตัวความได้มอบหมายหรือมอบอำนาจให้ไว้โดยชัดแจ้งหรือปริยายเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 299,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมจำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 694/2543 ของศาลจังหวัดกาญจนบุรี โจทก์เป็นทนายความของนางสาวอรวรรณ ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4551/2539 ของศาลแพ่งธนบุรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2548 จำเลยยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีหมายเลขแดงที่ 4551/2539 ของศาลแพ่งธนบุรีที่มีการยึดที่ดินของนายวีรพันธุ์ จำเลยในคดีดังกล่าวออกขายทอดตลาด ครั้งแรกมีผู้เสนอราคาสูงสุด 3,800,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีให้เลื่อนการขายออกไปครั้งต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้นายสรพลหรือชลัฐพล ไปในราคา 5,980,000 บาท เมื่อหักค่าธรรมเนียมแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินให้จำเลยผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ 5,321,073.89 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การที่ทนายจำเลยผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์มอบหมายให้โจทก์ดูแลการขายทอดตลาดและตกลงจะให้ค่าบำเหน็จนั้น หาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือไม่เพราะโจทก์มีนางสาวรัชนีกร เสมียนของโจทก์รู้เห็นเป็นพยานและได้มาเบิกความยืนยันต่อศาล ทั้งยังมีนายสรพลผู้ซื้อทรัพย์มาเบิกความเป็นพยานอีกปากหนึ่งด้วย นอกจากนี้การเป็นตัวแทนตามกฎหมายอาจเป็นโดยแต่งตั้งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้นั้น เห็นว่า แม้การมอบหมายให้เป็นตัวแทนดูแลการขายทอดตลาดและหาบุคคลภายนอกมาซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตลอดจนการตกลงว่าจะให้ค่าบำเหน็จตอบแทนการดำเนินการ ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังที่โจทก์ฟ้องอ้างก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยมอบหมายให้โจทก์ดูแลการขายทอดตลาดและตกลงจะจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์โจทก์จะต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงให้ปรากฏว่าข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่ตามทางนำสืบของโจทก์คงมีแต่โจทก์เบิกความว่า จำเลยในคดีนี้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้ดูแลการขายทอดตลาดและให้เป็นนายหน้าหาบุคคลภายนอกมาซื้อทรัพย์ โดยตกลงจะให้ค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 5 ของราคาทรัพย์ที่ได้จากการขายทอดตลาด โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ในทางตรงกันข้ามกลับได้ความจากนางสาวรัชนีกรพยานโจทก์เบิกความว่า นายดามพ์ ทนายจำเลยแจ้งให้ทราบว่าหากคนมาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้จะให้ค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 5 โดยให้โจทก์เป็นผู้ดูแลการขายทอดตลาด จึงเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาและตามที่นางสาวรัชนีกรเบิกความเป็นเรื่องที่นายดามพ์เป็นผู้แจ้งให้โจทก์กระทำการดังกล่าวหาใช่จำเลยเป็นผู้มอบหมายและตกลงจะให้ค่าบำเหน็จดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องไม่ ทั้งการแจ้งดังกล่าวของนายดามพ์ยังมีลักษณะเป็นการจำหน่ายสิทธิหรือผลประโยชน์ของตัวความไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ แทนจำเลยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ทนายความจะมีอำนาจกระทำได้โดยไม่จำต้องมีการมอบอำนาจอย่างชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าการที่นายดามพ์แจ้งนางสาวรัชนีกรข้างต้นเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่ตัวความได้มอบหมายหรือมอบอำนาจให้ไว้โดยชัดแจ้งหรือปริยายเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวความ เมื่อพิจารณาพยานเอกสารที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานแล้ว ก็ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับโจทก์เลย จะมีก็แต่เฉพาะตามเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ และเป็นเพียงการลงชื่อในฐานะพยานเท่านั้น ไม่มีข้อความใดที่บ่งชี้ว่าจำเลยได้มอบหมายให้โจทก์หรือใครเป็นตัวแทนหรือนายหน้าไปกระทำการตามที่โจทก์กล่าวอ้าง นอกจากนี้ที่โจทก์ฎีกาในทำนองว่า โจทก์แนะนำให้นายสรพลมาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากการขายทอดตลาด และโจทก์เป็นผู้ดูแลการขายทอดตลาดรวมทั้งเข้าสู้ราคาด้วย จึงทำให้ขายทอดตลาดได้ราคาสูงถึง 5,980,000 บาท ส่งผลให้จำเลยได้รับเงินมากถึง 5,321,073.89 บาท หากไม่มีโจทก์ดูแลการขายแล้ว ก็จะขายได้เงินเพียง 3,389,000 บาท แสดงว่าโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยโดยปริยายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 วรรคสองนั้น เห็นว่า การที่โจทก์แนะนำให้นายสรพลมาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากการขายทอดตลาดและเป็นผู้ดูแลการขายทอดตลาดรวมทั้งเข้าสู้ราคาข้างต้น หาใช่พฤติการณ์ที่บ่งบอกว่าโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยโดยปริยายไม่ เพราะโจทก์เองก็เป็นทนายความของนางสาวอรวรรณซึ่งเป็นโจทก์ในคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ การที่โจทก์ไปดูแลการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ในคดีดังกล่าวโดยตรง ทั้งการขายทอดตลาดจะได้ราคาสูงและสมควรขายหรือไม่ขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์ สภาวะเศรษฐกิจในขณะที่ดำเนินการขายทอดตลาด รวมทั้งอุปสงค์อุปทานของผู้เข้าสู้ราคา ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดเป็นสาระสำคัญ ดังนั้น การที่นายสรพลเข้าสู้ราคาและซื้อทรัพย์ได้นั้น จึงหาได้ขึ้นอยู่กับการที่โจทก์เป็นผู้ดูแลการขายทอดตลาดและร่วมเข้าสู้ราคาเพียงประการเดียวไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยได้ตกลงและมอบหมายให้โจทก์เป็นตัวแทนดูแลการขายทอดตลาดและเป็นนายหน้าหาบุคคลภายนอกมาซื้อทรัพย์โดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ