แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง ประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังรายการเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลย และนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรม แล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เช่าห้องพักโรงแรมของจำเลย และนำรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ไปมอบให้จำเลยดูแลรักษาพร้อมทั้งมอบกุญแจให้จำเลยตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยได้ยินยอมให้ลูกจ้างขณะกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลย นำรถยนต์ไปวิ่งใช้งานในถนนเป็นเหตุให้ชนกับรถอื่นได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๐,๗๓๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๑ และชำระเงิน ๓๐,๓๐๐บาทแก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ที่ ๑ ไม่เคยนำรถคันพิพาทไปมอบให้จำเลยดูแล จำเลยไม่เคยยินยอมให้ลูกจ้างนำรถคันพิพาทไปวิ่งใช้งานในถนน เหตุที่รถชนกันมิใช่ความประมาทของคนขับรถคันพิพาท คนขับรถคันพิพาทมิได้ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบ ค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๑นั้น เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ที่ ๑ไม่อาจเรียกจากจำเลยได้ตามกฎหมาย ค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๒ ไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๕๐๐ บาทแทนโจทก์ที่ ๒ แต่เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเท่าที่โจทก์ที่ ๒ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความระหว่างโจทก์ที่ ๑กับจำเลยให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒๕๐ บาทแทนโจทก์ที่ ๒
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายฟ้องใช้ชัดว่า โจทก์ที่ ๑ เกี่ยวข้องอย่างไรในการใช้รถคันพิพาท และโจทก์ที่ ๒ เกี่ยวข้องอย่างไรในการซ่อมรถคันพิพาทแทนโจทก์ที่ ๑ นั้น เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อความเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ที่ ๑ เกี่ยวข้องในการใช้รถคันพิพาทโดยนำรถคันพิพาทของโจทก์ที่ ๒ มาใช้ธุรกิจของโจทก์ที่ ๑และโจทก์ที่ ๑ ได้มอบรถคันพิพาทไว้ที่โรงแรมจำเลยซึ่งโจทก์ที่ ๑ เช่าพักอยู่ การที่โจทก์ที่ ๒ เกี่ยวข้องในการซ่อมรถคันพิพาทแทนโจทก์ที่ ๑ ก็เพราะเป็นเจ้าของ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ส่วนที่ว่าเฉพาะค่าเสียหายในการซ่อมรถก็เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า เมื่อได้กล่าวบรรยายในฟ้องว่ารถคันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง และประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นจำนวนหนึ่ง ดังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องแล้ว ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ข้อนี้จึงไม่เคลือบคลุมเช่นเดียวกัน
ฎีกาจำเลยข้อ ๒ที่ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ นั้น เห็นว่าทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม เมื่อกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๔ และ ๖๗๕ มาปรับแก่คดีนี้ ซึ่งกรณีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ และตามมาตรา ๖๗๔ บัญญัติว่า เจ้าสำนักโรงแรม…. จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเกินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา และมาตรา ๖๗๕ บัญญัติว่า เจ้าสำนักต้องรับผิด ในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัย สูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ว่าถึงความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม…. ก็คงต้องรับผิด ฯลฯ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม จำเลยจึงต้องรับผิดเพื่อความบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่รถยนต์คันพิพาทที่โจทก์ที่ ๑ ได้พามาจอดไว้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ส่วนข้อที่ว่านายบุญช่วยขับรถยนต์คันพิพาทออกไป เพราะจำเลยที่ ๑ มอบลูกกุญแจให้นายบุญช่วยขับไปใช้งานของโจทก์ที่ ๑ เองนั้น เห็นว่า ข้อนี้จำเลยนำสืบว่า โจทก์ที่ ๑ ใช้นายบุญช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยคดีนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้เป็นการเหมาะสมแล้วแต่ที่กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่ารถเสื่อมสภาพ ๕,๐๐๐ บาทสูงไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้ ๒,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่ารถเสื่อมสภาพเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๒๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒