คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ จ้าง วานผู้อื่นให้ปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้นำเอกสารปลอมนั้นไปใช้ ขอให้ลงโทษ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้ปลอมเอกสารด้วยมือจำเลยเอง แต่ก็ได้ร่วมกระทำโดยจัดให้ผู้อื่นกับพวกปลอมเอกสารขึ้น แล้วจำเลยนำเอกสารนั้นไปใช้ ดังนี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้รับมอบอำนาจรับเงินของร้านสิ่นช่างเฮง และร้านไทยส่งเสริมพาณิชย์ จากกองคลังการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกัน โดยจำเลย ใช้ จ้าง วานผู้อื่นให้ปลอมลายมือชื่อ ม.ร.ว.จรูญเนตร เกษมสันต์ กับพวก ลงในหนังสือขอเบิกจ่ายค่าเครื่องอุปกรณ์รถโดยสารของการรถไฟ ฯ และปลอมใบสั่งจ่ายเงินของการรถไฟ ฯ ซึ่ง นายอุดม ทวีสวัสดิ์ หัวหน้ากองตรวจรายจ่ายได้ลงไว้ได้ข้อความว่า “ตรวจถูกต้องแล้ว” และนายสุภาค โตวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการบัญชีได้ลงชื่อใต้ข้อความว่า “อนุญาตจ่ายให้” ในใบสั่งจ่ายเงินตามรายการเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าอาหารล่วงเวลาของคนงานการรถไฟ ฯ ทั้งนี้ โดยจำเลยให้ผู้อื่นลบรายการค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าอาหารล่วงเวลาออกแล้วพิมพ์รายงานค่าจ้างทำเครื่องอุปกรณ์รถไฟโดยสารลงใหม่ แล้วปลอมลายมือชื่อนายเฉลิม ศรีวิบูลย์ วิศวกรอำนายการกองโรงงานลงใต้ข้อความว่า “ถูกต้องแล้ว ” รวมหลายครั้ง รายละเอียดปรากฎในฟ้อง และปลอมลายมือชื่อนายอิน สถิตวณิช วิศวกรอำนวยการกองโรงงานลงใต้ข้อความว่า “ถูกต้องแล้ว” รวม ๔ ครั้ง รายละเอียดปรากฎในฟ้อง ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริต เพื่อนำเอกสารทั้งหมดดังกล่าวไปให้กองคลังการรถไฟ ฯ จ่ายเงินให้จำเลยตามรายการดังกล่าว เจ้าหน้าที่กองคลังการรถไฟ ฯ หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้จ่ายเงินจำนวนต่าง ๆ ดังกล่าวให้จำเลยไป และจำเลยได้บังอาจใช้ให้ผู้อื่นทำเอกสารใบสั่งจ่ายเงินของการรถไฟปลอมขึ้นว่า การรถไฟ ฯ ได้ซื้อเครื่องอุปกรณ์รถไฟโดยสารจากร้านลิ่นช่างเฮงเป็นเงิน ๘๘,๐๐๐ บาท แล้วจำเลยได้ใช้หรืออ้างเอกสารใบสั่งจ่ายเงินปลอมดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานจ่ายเงินกองคลังของการรถไฟ ฯ เจ้าพนักงานจ่ายเงินเชื่อว่าเป็นใบสั่งจ่ายเงินของการรถไฟ ฯจริง จึงจ่ายเงิน ๘๘,๐๐๐ บาทให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๖๓,๒๒๗,๑๐๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘,๓๔๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุด ให้จำคุกจำเลย ๔ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ จ้าง วานให้ผู้อื่นปลอมหนังสือ แต่ปรากฎในทางพิจารณาว่า นายณรงค์เป็นผู้ปลอมหนังสือนั้นขึ้นทุกฉบับ จำเลยมิได้ใช้ จ้าง วาน นายณรงค์ทำปลอมเอกสารนั้นเลย ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบจึงต่างกับฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณามิใช่ว่านายณรงค์เป็นผู้ปลอมหนังสือนั้นขึ้นเองตามลำพังดังจำเลยอ้าง แต่หากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยได้ร่วมกับนายณรงค์จัดทำเอกสารปลอมแล้วจำเลยนำเอกสารปลอมนั้นไปใช้ การร่วมกันกระทำในกรณีนี้ไม่ต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในฟ้อง กล่าวคือ ในระหว่างวันที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องนั้น จำเลยมิได้ปลอมเอกสารด้วยมือจำเลยเอง แต่จำเลยก็ได้ร่วมกระทำโดยจัดให้นายณรงค์กับพวกปลอมเอกสารขึ้นในระหว่างวันเวลาเดียวกันดังกล่าวในฟ้องนั้นเอง ศาลล่างทั้งสองมิได้ฟังว่าได้มีการใช้ให้กระทำ แยกออกต่างหากจากการปลอมเป็นคนละตอนไม่ ฉะนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังต้องกันมาดังกล่าวยังไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องถึงกับจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ ตามฎีกาจำเลย คงพิพากษายืน

Share