แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ ศ. ซึ่งเคยเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ลงชื่อในสัญญาซื้อขายโดยโจทก์ยอมรับเอาผลของนิติกรรมที่ ศ.ลงชื่อเป็นผู้ซื้อตลอดมามิได้ทักท้วงเท่ากับโจทก์ได้รับรู้ให้ ศ. เชิดตัวเองเพื่อให้จำเลยที่ 2 หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ โจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขายนั้นแม้การลงชื่อของ ศ. ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2524 ถึงวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้ออาหารไก่ไปจากโจทก์เป็นเงินจำนวน 1,725,105 บาท โจทก์ส่งมอบอาหารไก่ให้แก่จำเลยทั้งสองเรียบร้อยแล้วจำเลยทั้งสองตกลงว่าจะชำระเงินค่าอาหารไก่ให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองได้รับอาหารไก่ไปจากโจทก์แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินค่าอาหารไก่นับจากวันถึงกำหนดชำระเงินจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน237,200 บาท รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน1,962,305 บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,962,305 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน 1,725,105 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่าค่าอาหารไก่ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้อง ความจริงค่าอาหารไก่มีเพียงจำนวน 1,716,390 บาท เท่านั้น และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 2 ปี คดีขาดอายุความแล้ว แต่อย่างไรก็ตามค่าอาหารไก่ตามฟ้องตกอยู่ในบังคับข้อตกลงและเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายลูกไก่และไก่กระทงฉบับลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์2524 ซึ่งโจทก์ทำไว้กับจำเลยที่ 2 มีข้อตกลงกันว่าจำเลยที่ 2 จะต้องซื้ออาหารไก่จากโจทก์ และโจทก์จะต้องซื้อไก่ซึ่งจำเลยที่ 2 เลี้ยงโตแล้วไปจากจำเลยที่ 2แล้วหักกลบลบหนี้กันไป จำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 รับอาหารไก่ไปจากโจทก์จริงแต่มีข้อตกลงกันตามสัญญาฉบับลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2524ซึ่งโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำขึ้น มีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 2จะต้องซื้อลูกไก่จากโจทก์แต่ผู้เดียวไปเลี้ยงไก่โต เป็นไก่เนื้อแล้วขายให้แก่โจทก์แต่ผู้เดียว เงินค่าไก่ที่ขายให้โจทก์จะหักกลบลบหนี้กันกับเงินค่าอาหารไก่ซึ่งจำเลยที่ 2ซื้อไปจากโจทก์ ค่าอาหารไก่ตามฟ้องโจทก์คิดผิดเกินไป8,715 บาท ระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2524 ถึงวันที่1 กุมภาพันธ์ 2525 ซึ่งโจทก์ขายอาหารไก่ให้จำเลยที่ 2 นั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้ขายไก่เนื้อให้โจทก์ไปในระหว่างวันที่ 18ธันวาคม 2524 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 คิดเป็นเงินจำนวน1,745,161 บาท ซึ่งโจทก์ยังไม่ได้ชำระให้จำเลยที่ 2เมื่อคิดหักหนี้ค่าอาหารไก่ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องชำระให้โจทก์1,716,390 บาท จำเลยที่ 2 จึงเป็นลูกหนี้โจทก์ 28,771 บาทซึ่งโจทก์จะต้องชำระให้จำเลยที่ 2 นอกจากนั้นโจทก์ยังได้ตัดราคาไก่เนื้อของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2ไม่ได้ยินยอมด้วย และโจทก์ได้ยอมชำระเงินค่าบรรทุกขนส่งไก่เนื้อให้แก่จำเลยที่ 2 อีกด้วย คิดแล้วเป็นเงิน 270,354 บาท รวมกับจำนวนเงิน 28,771 บาท ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โจทก์จึงยังคงเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2 รวม 299,125 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 299,125 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2524ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525 และระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2524ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยที่ 2 ไม่เคยส่งไก่เนื้อในราคาประกันตามสัญญาให้โจทก์ และไม่เคยแจ้งให้โจทก์ชำระหนี้ตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 10,771 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งส่วนอื่นมากไปกว่านี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์เกินกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องและโจทก์ต้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์ฎีกาอ้างว่าสัญญาซื้อขายลูกไก่และไก่กระทงตามเอกสารหมาย ล.1ไม่ผูกพันโจทก์เพราะนายศิริ มานะวุฒิเวช ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อกระทำการแทนโจทก์นั้น ได้ความจากนายกำธรศิวะเกื้อ พยานโจทก์ว่า นายศิริซึ่งลงชื่อในช่องผู้ซื้อในเอกสารหมาย ล.1 เคยเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ นายซันเถียร แซ่จูนายสันติชัย เตียวสมบูรณ์กิจ ซึ่งลงชื่อเป็นพยานในเอกสารดังกล่าวเคยเป็นพนักงานของบริษัทโจทก์ ปัจจุบันนายซันเถียรก็ยังทำงานอยู่กับโจทก์ นายสุทธิ เกรียงชัยกฤกษ์ พยานโจทก์เบิกความสนับสนุนคำเบิกความนายกำธร ทั้งพยานโจทก์ก็ไม่ได้เบิกความปฏิเสธลายมือชื่อของบุคคลทั้งสามจึงรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้ออาหารไก่จากโจทก์และพนักงานขายของบริษัทโจทก์ก็นำอาหารไก่ไปส่งให้จำเลยที่ 2ปรากฏตามเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องและโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ด้วย เห็นว่า จากพฤติการณ์ต่าง ๆ ฟังได้ว่า โจทก์ได้รับเอาผลของนิติกรรมที่นายศิริลงชื่อเป็นผู้ซื้อตลอดมามิได้ทักท้วงพฤติการณ์เท่ากับโจทก์ได้รับรู้ให้นายศิริเชิดตัวเองเพื่อให้จำเลยที่ 2หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ โจทก์จึงต้องผูกพันต่อจำเลยที่ 2ในการกระทำของนายศิริ จะปฏิเสธความผูกพันตามเอกสารดังกล่าวหาได้ไม่ แม้เอกสารดังกล่าวจะไม่ได้ประทับตราของบริษัทและกรรมการบริษัทลงชื่อไม่ครบจำนวนตามที่กำหนดไว้ในหนังสือรับรองก็ตาม สัญญาตามเอกสารหมาย ล.1 มีผลบังคับระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขาย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2จะต้องจ่ายซื้ออาหารไก่ให้โจทก์โดยตรงไม่ใช่ด้วยการหักหนี้โดยจำเลยที่ 2 ส่งไก่ไปให้โจทก์ และหากจำเลยชำระเงินค่าอาหารไก่ให้แก่โจทก์จริง จำเลยจะต้องมีใบเสร็จรับเงินของโจทก์มาแสดงนั้นได้ความจากนายสุทธิพยานโจทก์ว่า จำเลยได้ส่งไก่ขายให้บริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด ตามเอกสารหมาย ล.7 บริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด มีสำนักงานอยู่แห่งเดียวกับโจทก์ และมีหมายเลขโทรศัพท์เดียวกันนายกำธรพยานโจทก์เบิกความว่า บริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัดเป็นบริษัทในเครือเดียวกับบริษัทโจทก์ และนายศิริก็ยังเป็นกรรมการบริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด ด้วยจึงเป็นการยากที่บุคคลทั่วไปจะเข้าใจว่าเป็นคนละบริษัท นอกจากนี้ยังได้ความจากจำเลยที่ 2 ว่านายศิริเป็นผู้สั่งให้บริษัทโจทก์ซึ่งมารับไก่ไปจากจำเลยที่ 2 นั้นนำเอาไก่ไปส่งให้บริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด ด้วย จึงเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 2 ส่งไก่ให้บริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด เป็นการขายให้โจทก์ตามข้อตกลงในข้อ ก.3 ของเอกสารหมาย ล. 1 แล้วมีการหักหนี้กับค่าอาหารไก่ที่จำเลยที่ 2 ซื้อจากโจทก์ ตามข้อตกลงดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระค่าอาหารไก่ให้โจทก์แล้ว ที่โจทก์อ้างว่าใบรับไก่ของบริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด ตามเอกสารหมาย ล.7 มีการประทับตรายกเลิก เพราะบริษัทไก่สดเซนทาโก จำกัด ได้ชดใช้เงินแก่จำเลยที่ 2 แล้วนั้น โจทก์ไม่ได้มีพยานใดมาสืบสนับสนุนความดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อ ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ชำระหนี้ไม่มีใบเสร็จรับเงินจากโจทก์มาแสดง จำเลยที่ 2 ต้องมีภาระการพิสูจน์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำนายฉัตรชัยพรอำนวนทรัพย์ มาเบิกความถึงการปฏิบัติการหักเงินจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว เห็นว่า ถ้าหากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าอาหารไก่ให้โจทก์แล้ว เจ้าหน้าที่ของโจทก์คงไม่มอบเอกสารหมาย ล.3 ถึง ล.6 (ใบสีเขียว) ให้จำเลยที่ 2 และโจทก์คงไม่ส่งอาหารไก่ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา ตลอดจนโจทก์ก็ไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 2ปฏิบัติตามสัญญาในเอกสารหมาย ล.1 ในทันทีที่จำเลยที่ 2 ไม่ส่งไก่ให้โจทก์ จึงฟังได้ว่ามีการหักหนี้ค่าอาหารไก่กับราคาไก่ที่จำเลยที่ 2 ขายให้โจทก์แล้วจำเลยที่ 2 กลับเป็นเจ้าหนี้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน