คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้านมกล่อง และรับสินค้าจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้วเป็นเงิน 1,082,105.40 บาท แต่จำเลยไม่ชำระเงินค่าสินค้าขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าและได้นำไปส่งมอบให้แก่ผู้สั่งซื้อแล้วชอบที่จะได้ค่าบำเหน็จในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าบำเหน็จจำนวน 674,325.79 บาท แก่จำเลย ตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำว่าสัญญาทำกันด้วยเป็นเรื่องอะไรผลของสัญญาจะเป็นเช่นใด ซึ่งต่างอ้างว่าอีกฝ่ายต้องรับผิดตามสัญญาเกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินได้เพราะเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายนมกล่อง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 1,197,173.65 บาท แก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์จำเลยมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรจำเลยจะต้องรับผิดชอบในจำนวนหนี้ตามฟ้องในฐานะใด ทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยผิดสัญญาตัวแทนค้าต่างอย่างไร จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบเพื่อการชำระหนี้แทนผู้สั่งซื้อสินค้าและฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์เป็นผู้จำหน่ายนม ยู เอช ที ให้แก่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติแทนโจทก์ซึ่งจำเลยชอบที่ได้รับบำเหน็จจากโจทก์ จึงขอให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จในการเป็นตัวแทนค้าต่างแก่จำเลย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้านมกล่อง(UHT) และนมพาสเจอร์ไรส์ และรับสินค้าจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้วเป็นเงิน1,082,105.40 บาท เมื่อถึงกำหนดชำระเงินค่าสินค้า จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าจากโจทก์และได้นำไปส่งมอบให้แก่ผู้สั่งซื้อแล้ว จำเลยชอบที่จะได้ค่าบำเหน็จในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าบำเหน็จจำนวน 674,325.79 บาทแก่จำเลย เห็นว่า ตามคำฟ้องและตามฟ้องแย้งนั้นเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำสัญญาว่าสัญญาทำกันด้วยเรื่องอะไร ผลของสัญญาจะเป็นเช่นใดซึ่งโจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายต้องรับผิดตามข้อสัญญาเกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน เช่นนี้จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินค่าบำเหน็จในฐานะเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ได้เพราะเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา

Share