แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่งเรียกว่าสัญญาประกันภัย ซึ่งเป็นผลให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติระหว่างกันของคู่สัญญา แม้ตามกฎหมายจะบังคับว่าการทำสัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะแก่คู่สัญญาที่ได้มีการทำกันขึ้นเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้แก่บุคคลภายนอกไม่ พ. เป็นผู้เสียหายและเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เป็นคู่สัญญา จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง
ผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบและกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนมาเป็นของผู้เช่าซื้อในขณะนั้นก็ตาม แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะใช้รถยนต์ดังกล่าวหาประโยชน์ได้โดยชอบ อีกทั้งยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพให้ใช้การได้ดีตลอดไป เมื่อได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมตกมาเป็นของผู้เช่าซื้อ หรือถ้าหากมีการเลิกสัญญา ผู้เช่าซื้อก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม เมื่อมีการทำละเมิดเกิดความเสียหายแก่รถยนต์ดังกล่าว ผู้เช่าซื้อจึงอยู่ในฐานะที่จะต้องเรียกค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ย.๐๒๑๒๗ โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าของครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน พ.บ.๐๖๒๗๗ ร่วมกันและเป็นนายจ้างของนายชนิตย์ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๑๙ นายชนิตย์ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ด้วยความประมาท ขับด้วยความเร็วสูง และขับล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องของรถที่จะแล่นสวนทางมาได้พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ โดยแรงได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ ๒ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าลากและซ่อมรถให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๑๓,๕๐๐ บาทโจทก์ที่ ๑ ต้องเสียค่าเช่ารถอื่นมาใช้ ๒๕ วัน เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท รถเสื่อมสภาพคิดเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทและค่าเสียหายส่วนแรกที่โจทก์ที่ ๑ ต้องออกตามสัญญาประกันภัย ๕๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๑ ๓๕,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างในผลแห่งการละเมิดของนายชนิตย์ส่วนจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน พ.บ.๐๖๒๗๗ ได้ขายไปก่อนหน้าเกิดเหตุแล้ว
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.บ.๐๒๑๒๗ และโจทก์ที่ ๒ ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว เหตุที่รถชนกันเพราะความประมาทของคนขับรถของฝ่ายโจทก์ รถเสียหายเล็กน้อยซ่อม ๗ วันเสร็จค่าซ่อมไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท ซ่อมแล้วไม่เสื่อมราคา ค่าเช่ารถอื่นมาใช้เสียค่าเช่าเพียงวันละ ๕๐ บาท จำเลยที่ ๓ ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน พ.บ.๐๖๒๗๗
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๒๕,๕๐๐ บาท และแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๓,๕๐ บาท
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายเป็นข้อแรกว่า ความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๗ บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ การที่ศาลล่างทั้งสองฟังเพียงเฉพาะแต่การนำสืบด้วยพยานบุคคลของโจทก์โดยลำพังแล้ววินิจฉัย เชื่อว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน พ.บ.๐๖๒๗๗ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่งเรียกว่าสัญญาประกันภัย ซึ่งเป็นผลให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติระหว่างกันของคู่สัญญา แม้ตามกฎหมายจะบังคับว่าการทำสัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะแก่คู่สัญญาที่ได้มีการทำกันขึ้นเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้แก่บุคคลภายนอกไม่โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เสียหายและเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เป็นคู่สัญญา จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง การนำสืบและการรับฟังพยานของโจทก์ที่ ๑ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๔
จำเลยที่ ๓ ฎีกาข้อกฎหมายในข้อต่อมาว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเพียงผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ย.๐๒๑๒๗ มิได้เป็นเจ้าของ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสื่อมราคาและค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ ๑ เช่าซื้อรถคันพิพาทมาจากร้านศรีมงคลนครนายก ดังนั้นแม้รถยนต์ดังกล่าวยังไม่ได้โอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ ๑ในขณะนั้นก็ตาม แต่โจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะใช้รถยนต์คันที่เช่าซื้อมานั้นหาประโยชน์ตนได้โดยชอบ อีกทั้งยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์คันนี้ให้อยู่ในสภาพให้ใช้การได้ดีตลอดไป เมื่อได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมตกมาเป็นของโจทก์ที่ ๑ หรือถ้าหากจะมีการเลิกสัญญา โจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าซื้อก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม ดังนั้นเมื่อมีการทำละเมิดเกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ที่ ๑ จึงอยู่ในฐานะที่จะต้องเรียกค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งค่าเสื่อมราคาของรถได้ด้วย
พิพากษายืน