คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ม.8 แห่งพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 ความว่า “ถ้าผู้ใดเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ฯลฯ ” นั้น หมายความถึงว่าผู้นั้นได้รับโทษโดยศาลพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งอีกนัยหนึ่งคือครั้งตามคำพิพากษา หามีข้อความใดในบทบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นได้หลุดพ้นโทษไปแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งเช่นกฎหมายลักษณะอาญาเรื่องผู้กระทำผิดไม่เข็หลาบนั้นไม่
จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้ว 3 คดีคือคดีแดงที่ 1221/2491 ฐานชิงทรัพย์ คดีแดงที่ 136/2492 ฐานลักทรัพย์ คดีแดงที่ 769/2492 ฐานหลบหนีที่คุมขัง และปรากฎตามสำนวนคดีแดงที่ 136/2492 ว่าจำเลยรับโทษตามคำพิพากษาคดีแดงที่ 1221/2491 อยู่แล้วหลบหนีไปกระทำผิดในคดีแดงที่ 136/2492 นั้นทั้ง 3 คดีนี้จำเลยจึงได้รับโทษจำคุกต่อเนื่องกันไป เพิ่งพ้นโทษไปคราวเดีว เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2494 เช่นนี้ เมื่อจำเลยมากระทำผิดในคดี ( ลักทรัพย์ ) ขึ้นอีก ศาลก็เพิ่มโทษกักกันจำเลยได้
อ้างฎีกาที่ 1307/2480 และที่ 1514/2482

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่า จำเลยเป็นคนจรจัดและจำเลยได้ลักเอาสร้อยคอทองคำ ฯลฯ ของนางสาวอรุณไปรวมราคา ๑,๕๐๐ บาท จำเลยนี้เคยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งอันมิใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ จำเลยไม่เข็ดหลาบ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๙๗,๗๓,๓๐, พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๔,๘,๙, ฯลฯ
จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐,๒๙๗, ให้จำคุก ๓ ปีตามมาตรา ๒๙๗ ซึ่งเป็นกะทงหนัก เพิ่มโทษตามมาตรา ๗๓ และปราณีตามมาตรา ๕๙ กึ่งหนึ่งเป็นอันกลบลบกันไป ฯลฯ ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษกักกันนั้น ปรากฎว่าโทษในคดีที่ ๑,๒,๓, นับติดต่อกันยังไม่เรียกว่าจำเลยได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้งถือว่าจำเลยได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง ถือว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาแล้วเพียงครั้งเดียว ให้ยกคำของโจทก์ข้อนี้เสีย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้องจำเลยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้ว ๓ คดี คือคดีแดงที่ ๑๒๒๑/๒๔๙๑ ฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา ๒๙๙,๕๙, คดีแดงที่ ๑๓๖/๒๔๙๒ ฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๒๙๔,๕๙, และคดีแดงที่ ๗๖๙/๒๔๙๒ ฐานหลบหนีที่คุมขังตามมาตรา ๑๖๓,๕๙ และปรากฎตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๓๖/๒๔๙๒ ของศาลอาญาว่าจำเลยรับโทษตามคดีแดงที่ ๑๒๒๑/๒๔๙๑ อยู่แล้วหลบหนีไปกระทำในคดีแดงที่ ๑๓๖/๒๔๙๒ นั้น ทั้งสามคดีนี้จำเลยจึงได้รับโทษจำคุกต่อเนื่องกันไปเพิ่งพ้นโทษไปคราวเดียวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๔ เห็นว่าตามบทบัญญัติมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติกักกดันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ ซึ่งว่า ” ถ้าผู้ใดได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ฯลฯ ” นั้น หมายความว่าผู้นั้นได้รับโทษโดยศาลพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง อีกนัยหนึ่งคือครั้งตามคำพิพากษา หามีข้อความใดแสดงให้หมายความว่า ผู้นั้นได้หลุดพ้นโทษไปแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ดังเช่นบทบัญญัติในเรื่องผู้กระทำผิดไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายลักษณะอาญานั้นไม่ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐๗/๒๔๘๐ คดีระหว่างอัยการจังหวัดพระนครสรีอยุธยา โจทก์ นักโทษขายคลิ้ง มงคลรัตน์ จำเลยและที่ ๑๕๑๔/๒๔๘๒ คดีระหว่างอัยการจังหวัดปราจีนบุรีโจทก์ นักโทษชาย สายบัว ฟักฟูมศรี จำเลย และเห็นว่าจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้ายแล้ว
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้เพิ่มโทษกักกันจำเลยตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๙ มีกำนด ๓ ปี อีกโสดหนึ่ง นอกนี้ยืน

Share