คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพลาธิการกองพลทหารม้า สั่งให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นพลขับและสังกัดอยู่ในกองพลเดียวกัน ขับรถยนต์ของทางราชการกองพลทหารม้าไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการวัดอยู่ด้วยกิจการดังกล่าวมิใช่ราชการของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ทั้งมิได้เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 แต่ประการใด ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่2 เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกิจการนี้โดยปริยายเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับกองพลทหารม้าได้ชนรถยนต์โจทก์เสียหายถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวการย่อมต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ทำไปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 427 ประกอบด้วยมาตรา 820
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 32/2515)
แม้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะเป็นข้าราชการทหารสังกัดอยู่ในกองพลทหารม้าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่การขนปูนซิเมนต์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 3แต่อย่างไร การใช้รถยนต์ของทางราชการก็ดี การเติมน้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวจำเลยที่ 2 กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ 3 ไปไม่ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์
ในเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้น แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดจำนวน ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ฎีกา ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 245 (1), 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พิพากษาให้จำเลยที่ 1รับผิดเท่ากับจำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นทหารประจำกองพลทหารม้า กองทัพบกกระทรวงกลาโหม อยู่ในบังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหน้าที่เป็นพลขับ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ของราชการกองพลทหารม้าโดยคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ไปขนปูนซิเมนต์ที่ท่าสาธุประดิษฐ์ไปส่งที่วัดนครป่าหมากเสร็จงานแล้วจำเลยที่ ๑ ขับรถกลับกองพลทหารม้าด้วยความประมาทชนรถยนต์แท็กซี่และรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับได้พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์พังเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ไม่มีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติได้ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้สั่งให้จำเลยที่ ๑นำรถไปขนปูนซิเมนต์ดังฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายเฉลิมคนขับรถแท็กซี่ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินกว่าความจริง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดในผลการละเมิดของจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า การที่จำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดนครป่าหมากซึ่งจำเลยที่ ๒เป็นกรรมการวัดและกิจการดังกล่าวมิใช่เป็นราชการของกองทัพบกจำเลยที่ ๓ทั้งมิได้เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ แต่ประการใดนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการและจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ ๑ขับรถยนต์ไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดนครป่าหมากแล้ว ระหว่างขับรถยนต์กลับกองพลทหารม้า ได้ชนรถยนต์โจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวการย่อมต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวแทนในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ทำไปนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๒๐
แม้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จะเป็นข้าราชการทหาร สังกัดอยู่ในกองพลทหารม้าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๓ ก็ตาม แต่การขนปูนซิเมนต์เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ ซึ่งปฏิบัติไปในฐานะเป็นกรรมการของวัดนครป่าหมากมิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการของจำเลยที่ ๓ แต่อย่างใด การใช้รถยนต์ของราชการก็ดี การเติมน้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวของจำเลยที่ ๒กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ ๓ ไปไม่ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ก่อขึ้นแก่โจทก์
ในเรื่องเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นแม้ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตาม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๔๕ (๑), ๒๔๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์เพียง ๕,๐๐๐ บาทเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๒
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดในผลละเมิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา เว้นแต่ในเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองรับผิดเพียง ๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share