แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงอันจะถือว่าเป็นกลฉ้อฉลตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 124 นั้น จะต้องเป็นการนิ่งในพฤติการณ์ที่คู่กรณีมีหน้าที่ควรจะบอกความจริง หรือเป็นการนิ่งประกอบด้วยพฤติการณ์อันแสดงออกซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหลง กรณีที่จะมีโครงการตัดถนนผ่านที่ดินที่จะซื้อขายหรือไม่ไม่ใช่หน้าที่ของผู้จะซื้อที่จะบอกข้อความจริงดังกล่าว หากแต่เป็นหน้าที่ของผู้จะขายที่ดินพิพาทจะต้องขวนขวายแสวงหาความจริงเอาเองแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้จะซื้อจงใจนิ่งเสีย ไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าว ซึ่งผู้จะขายมิได้รู้มาก่อน และถ้าฝ่ายผู้จะซื้อมิได้นิ่งเสีย สัญญาจะซื้อขายที่ดินก็จะมิได้ทำขึ้นนั้น การกระทำของผู้จะซื้อก็ไม่เป็นกลฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 124 แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ขายได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และได้แจ้งให้โจทก์รับเงินมัดจำคืน และโจทก์ไม่ยอมรับคืน แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่จะไม่ยอมรับเงินมัดจำคืนในขณะนั้นได้ และเมื่อปรากฎว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาหากจำเลยจะต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ จำเลยก็ต้องชำระดอกเบี้ยด้วย นับแต่วันฟ้องซึ่งถือว่าเป็นวันที่จำเลยผิดนัด ประเด็นที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และฎีกาเป็นเรื่องขอให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยขอให้บังคับจำเลยให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และรับเงินตามราคาที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันไปจากโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน 2 แปลง โจทก์วางมัดจำไว้เป็นเงิน 400,000 บาท ที่เหลือจะชำระวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จำเลยทั้งสองมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุจะบอกเลิกได้ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินตามสัญญา แต่จำเลยทั้งสองไม่จัดการโอนให้ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนที่ดินโฉนดที่ 415 และโฉนดที่ 1905 ตำบลท่าแร้งอำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม ค่าอากร ค่าภาษีเงินได้ หากไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 250,000 บาท แก่โจทก์ หากโอนที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินมัดจำ400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่20 ธันวาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 6,220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์เป็นหัวหน้างานทะเบียน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกับพวกใช้รถของทางราชการกรุยทางตัดถนนผ่านที่ดินพิพาททั้งสองแปลง และผ่านที่ดินของผู้อื่นอีกหลายเจ้าของ เพื่อทำทางสาธารณะ ซึ่งจำเลยที่ 2 เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2527 อันเป็นเวลาภายหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ หากทราบมาก่อนจะไม่ทำสัญญาขายในราคานี้ แต่จะขายในราคาที่สูงกว่าประมาณ 3 เท่า โจทก์จึงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงให้จำเลยทราบว่า ทางราชการมีโครงการตัดถนนสาธารณะผ่านที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย สัญญาจะซื้อจะขายตกเป็นโมฆียะ จำเลยได้บอกล้างให้โจทก์รับเงินมัดจำคืนเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2527 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทต่อโจทก์ โจทก์จะบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาได้แก่คืนเงินมัดจำเท่านั้น ซึ่งจำเลยกำหนดให้โจทก์รับคืน แต่โจทก์ไม่ไปรับ จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยค่าเสียหาย นอกจากนี้มีไม่ถึงเท่าที่โจทก์ฟ้อง และไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 415 และ 1905 ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียม ค่าอากรค่าภาษีเงินได้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย หากจำเลยบิดพลิ้วให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือจากที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากโจทก์แก่จำเลย หากจำเลยทั้งสองไม่อาจที่จะโอนที่ดินให้โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์จงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงที่เกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยมิได้รู้มาก่อน ถ้าฝ่ายโจทก์มิได้นิ่งเสีย สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทก็จะมิได้ทำขึ้นนั้น เห็นว่า การนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงอันจะถือว่าเป็นกลฉ้อฉลตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 124 นั้น จะต้องเป็นการนิ่งในพฤติการณ์ที่คู่กรณีมีหน้าที่ควรจะบอกความจริงหรือเป็นการนิ่งประกอบด้วยพฤติการณ์อันแสดงออกซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหลงแต่ในกรณีที่จะมีโครงการตัดถนนผ่านที่ดินพิพาทหรือไม่นี้ ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะบอกข้อความจริงดังกล่าว หากแต่เป็นหน้าที่ของจำเลยผู้จะขายที่ดินพิพาท จะต้องขวนขวายแสวงหาความจริงเอาเองดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังจำเลยอ้าง การกระทำของโจทก์ก็ไม่เป็นกลฉ้อฉลตามบทกฎหมายดังกล่าว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ที่จำเลยฎีกาว่า ในกรณีที่ต้องคืนเงินมัดจำจะคิดดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวได้ต่อเมื่อจำเลยไม่ยอมคืน และนับแต่วันที่จะต้องคืนเป็นต้นไปที่ศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยของเงินมัดจำตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 อันเป็นวันทำสัญญาจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378บัญญัติว่า “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) …
(2) …
(3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ” ปรากฏว่าในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทรายนี้ไม่ได้ตกลงในเรื่องมัดจำกันไว้เป็นอย่างอื่น แม้คดีจะได้ความว่าทนายจำเลยได้บอกเลิกสัญญาต่อโจทก์และได้แจ้งให้โจทก์มารับเงินมัดจำคืนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 แต่โจทก์ไม่ยอมรับคืนก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์จึงมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่จะไม่ยอมรับเงินมัดจำคืนในขณะนั้นได้ และเมื่อปรากฏว่าต่อมาจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย และจำเลยจะต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่วันฟ้องซึ่งถือว่าเป็นวันที่จำเลยผิดนัด ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้ประเด็นเรื่องค่าเสียหายถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ประเด็นที่พิพาทต่อมาไม่มีข้อโต้เถียงในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ คำสั่งและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ประเด็นที่พิพาทกันเฉพาะในชั้นอุทธรณ์และฎีกาเป็นเรื่องที่ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยขอบังคับจำเลยที่ 1 ให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และให้รับเงินตามราคาที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันไปจากโจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท คำสั่งและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยนอกจากนี้เป็นข้อปลีกย่อย ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่อาจโอนที่ดินให้โจทก์ได้ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์