คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย นั้น เห็นได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดษฐานบุกรุกและข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกระทงไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้บุกรุกเข้าไปอยู่ในกระท่อมอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยในความครอบครองของนางบัวสอด แสนทวีสุข ผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางบัวสอดอายุ ๑๘ ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลย โดยใช้กำลังกายบีบคอปลุกปล้ำและใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญนางบัวสอด จนจำเลยสำเร็จความใคร่สองครั้ง โดยนางบัวสอดไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๖๔, ๓๖๕, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๗
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๖๔, ๓๖๕, ๙๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๗ (ที่ถูกเป็นข้อ ๗ ข้อเดียว) ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกกระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอีกกระทงหนึ่ง ขอให้ลงโทษทุกกระทง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยกระทำผิดต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกระทงไม่ได้
พิพากษายืน

Share