แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ทำการลักทรัพย์ แม้ศาลจะฟังว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นั้น หลักฐานยังไม่พอลง
โทษจึงปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไปก็ดี แต่จะถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่ เมื่อคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 มีพยานหลักฐานฟังได้ ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ได้./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า ่จำเลยสมคบกันเป็นคนร้ายลักปากกาหมึกซึมของนายศรีศักดิ์ ไปขอให้ลงโทษ.
จำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ ผู้เดียวผิดฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๔ สำหรับจำเลย ที่ ๑ ไม่ผิดฐานลักทรัพย์.
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ กระทำผิดจริง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่า ฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ สมคบกับจำเลยที่ ๑ ทำการ ลักทรัพย์ เมื่อไม่ฟังว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดย่อมจะฟังว่าจำเลยที่ ๒ สมคบกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย การที่ศาลยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ก็เพียงว่าหลักฐานยังไม่พอลงโทษเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ เท่านั้น จะ ถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่.
จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.