แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ถึงแม้มิได้สั่งให้โจทก์เป็นผู้นำส่ง แต่เมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้น จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องติดตามผลการส่งหมายเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2546 และต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล ซึ่งหากโจทก์ตรวจสำนวนย่อมจะทราบผลการส่งหมายและดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้ก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี การที่โจทก์ไม่ติดตามขวนขวายตรวจสำนวนเพื่อทราบผลการส่งหมายอันเป็นความบกพร่องไม่ใส่ใจในคดี จึงเป็นการปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกสารบบความจึงชอบแล้ว
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง เป็นคำสั่งที่อาศัยอำนาจตามมาตรา 132 (2) ด้วย แม้มาตรา 132 วรรคหนึ่ง จะบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยการกำหนดเงี่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรแต่บทบัญญัติที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ศาลใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะสั่งกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมหรือไม่ หากศาลจะมีคำสั่งดังกล่าวคำสั่งนั้นก็ต้องไม่ขัดแย้งกับมาตรา 151 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งบัญญัติถึงเงื่อนไขในการคืนค่าธรรมเนียมศาลไว้โดยเฉพาะ ดังนี้ เมื่อมาตรา 151 ไม่ได้กำหนดให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามมาตรา 198 วรรคสอง จึงสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,419,579.88 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,415,609.02 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง โดยให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยตามข้อบังคับว่าด้วยการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีและให้โจทก์วางเงินค่านำส่งหมายภายใน 7 วัน ในวันยื่นคำฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตตามที่โจทก์ขอ วันที่ 31 สิงหาคม 2546 เจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมาย ครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ยื่นคำให้การ ต่อมาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2546 เจ้าหน้าที่ศาลรายงานศาลว่าโจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเพราะเหตุโจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง กำหนดว่าถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความนั้น บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจมีคำสั่งจำหน่ายคดีในกรณีที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อมิให้โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่การที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่นั้น ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลโดยพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นรายๆ ไป สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยตามข้อบังคับว่าด้วยการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีและให้โจทก์วางเงินค่านำส่งหมายภายใน 7 วัน ในวันยื่นคำฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตตามที่โจทก์ขอ และถึงแม้มิได้สั่งให้โจทก์เป็นผู้นำส่งก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้น จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องติดตามผลการส่งหมายจากเจ้าหน้าที่ศาลเอง เมื่อปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2546 และต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลและศาลได้มีคำสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ ซึ่งในวันดังกล่าวหากโจทก์ตรวจสำนวนและติดตามผลการส่งหมายจากเจ้าหน้าที่ศาลโจทก์ย่อมจะต้องทราบผลการส่งหมายและดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้ทันก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ไม่ทราบผลการส่งหมายและศาลชั้นต้นมิได้แจ้งผลการส่งหมายให้โจทก์ทราบนั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้น จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องติดตามผลการส่งหมายจากเจ้าหน้าที่ศาลเอง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมาย จึงไม่มีเหตุขัดข้องในการส่งหมายที่จำเป็นต้องแจ้งให้โจทก์ดำเนินการแต่อย่างใดการที่โจทก์ไม่ติดตามขวนขวายตรวจสำนวนเพื่อทราบผลการส่งหมายหรือความคืบหน้าของคดีอันเป็นความบกพร่องไม่ใส่ใจในคดีของโจทก์จึงเป็นการปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความจึงชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความจะต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์นั้น เห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง นั้น เป็นคำสั่งที่อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (2) ด้วย แม้มาตราดังกล่าววรรคหนึ่งจะบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยการกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรแต่บทบัญญัติที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะสั่งกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมหรือไม่ หากศาลจะมีคำสั่งดังกล่าวคำสั่งนั้นก็ต้องไม่ขัดแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งบัญญัติถึงเงื่อนไขในการคืนค่าธรรมเนียมศาลไว้โดยเฉพาะ ดังนี้ เมื่อมาตรา 151 ไม่ได้กำหนดให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 132 (2) การที่ศาลล่างทั้งสองไม่สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์นั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.