คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2517

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลย จำเลยได้ชักอาวุธปืนสั้นออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้อง แต่เจ้าพนักงานตำรวจวิ่งเข้ามาขัดขวางป้องกันมิให้จำเลยกระชากลูกเลื่อนได้และแย่งปืนจากจำเลยไป ดังนี้จำเลยยังไม่อยู่ในสภาพพร้อมจะยิง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,296, 289, 80 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พระราชบัญญัติสุราฯ

จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาฐานมีลูกระเบิด อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และสุรากลั่นไว้ในครอบครอง ข้อหาอื่นปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และพระราชบัญญัติสุรา ฯลฯ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานด้วย

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะที่สิบตำรวจตรีประเสริฐพยานโจทก์เข้าจับกุมจำเลยได้ชักอาวุธปืนสั้นออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้กระสุนปืนเข้าลำกล้อง แต่สิบตำรวจตรีประเสริฐวิ่งเข้ามาขัดขวางป้องกันมิให้จำเลยกระชากลูกเลื่อนปืนได้ และแย่งปืนจากจำเลยมาได้ในที่สุด ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยชักปืนออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้องก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจเข้าขัดขวางป้องกันมิให้จำเลยกระชากลูกเลื่อนปืนได้ และแย่งปืนไปได้จากจำเลยนั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะขณะนั้นกระสุนปืนยังไม่เข้าลำกล้อง จำเลยมิได้จ้องปืนเล็งไปทางเจ้าพนักงาน นิ้วมือจำเลยยังมิได้แตะอยู่ที่ไกปืน แสดงว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะยิง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share